จัดบ้านให้น่าอยู่ จัดร้านให้น่าเข้า สไตล์ญี่ปุ่น…สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้อ่านหนังสือแปลจากภาษาญี่ปุ่นใหม่ล่าสุด 2 เล่ม คือ “ญี่ปุ่นเขาจัดบ้านกับแบบนี้ไง” และ “ญี่ปุ่นเขาจัดร้านกันแบบนี้ไง” ทำให้เข้าใจถึงการจัดบ้านและจัดร้านแบบญี่ปุ่น ซึ่งดิฉันคิดว่ามีประโยชน์กับคุณผู้อ่านเพราะจะได้ทราบถึงวิธี “จัดบ้านอย่างไรให้น่าอยู่ และจัดร้านอย่างไรให้น่าเข้า” หนังสือมีภาพประกอบสวยงามทำให้อ่านแล้วเห็นภาพ แฝงด้วยมุกตลกที่ช่วยให้ผ่อนคลายค่ะ
ตอนอยู่ญี่ปุ่นดิฉันได้มีโอกาสไปพักบ้านโฮสต์แฟมิลี่ชาวญี่ปุ่นหลายครั้ง ก็แอบสังเกตว่าถึงแม้บ้านคนญี่ปุ่นจะมีขนาดเล็กเพราะเนื้อที่แพง แต่บ้านน้อย ๆ เหล่านั้นกลับมีฟังก็ชั่นการใช้งานเต็มรูปแบบและใช้ทุกพื้นที่อย่างคุ้มค่าจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นตู้แขวนเสื้อโค้ทตรงทางเข้าบ้าน ชั้นเก็บหนังสือที่วางอยู่เหนือราวบันได ตู้เก็บผ้าเช็ดตัวเหนืออ่างล้างหน้า ชั้นเก็บหนังสือใต้เตียง ฯลฯ หากคุณผู้อ่านเคยไปพักโรงแรมญี่ปุ่นก็คงจะเห็นด้วยกับดิฉันนะคะ ถึงแม้ห้องจะเล็กแสนเล็กยังไง แต่ทั้งห้องนอนและห้องน้ำกลับมีอุปกรณ์ทุกอย่างครบครัน เรียกว่าใช้พื้นที่ทุกซอกทุกมุมได้อย่างมีประโยชน์จริง ๆ ค่ะ
สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้อ่านหนังสือแปลจากภาษาญี่ปุ่นใหม่ล่าสุด 2 เล่ม คือ “ญี่ปุ่นเขาจัดบ้านกับแบบนี้ไง” และ “ญี่ปุ่นเขาจัดร้านกันแบบนี้ไง” ทำให้เข้าใจถึงการจัดบ้านและจัดร้านแบบญี่ปุ่น ซึ่งดิฉันคิดว่ามีประโยชน์กับคุณผู้อ่านเพราะจะได้ทราบถึงวิธี “จัดบ้านอย่างไรให้น่าอยู่ และจัดร้านอย่างไรให้น่าเข้า” หนังสือมีภาพประกอบสวยงามทำให้อ่านแล้วเห็นภาพ แฝงด้วยมุกตลกที่ช่วยให้ผ่อนคลายค่ะ
ญี่ปุ่นเขาจัดร้านกันแบบนี้ไง
เล่มนี้ผู้เขียนเล่าถึงการออกแบบบ้านที่เหมาะสมในทุก ๆ ส่วนของบ้านในด้านความสวยงามและความเป็นระเบียบเรียบร้อย เริ่มตั้งแต่ทางเข้าบ้าน ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องรับแขก ที่เก็บของ ฯลฯ
ผู้เขียนได้เน้นถึงรูปแบบการใช้สอยในชีวิตจริง ๆ และให้ข้อคิดสำคัญว่าตอนที่เราซื้อบ้านใหม่ๆนั้น ส่วนใหญ่มักจะมองภาพบ้านในฝันว่าทุกอย่างจะเป็นระเบียบเรียบร้อยและก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเมื่อเข้าอยู่จริงๆเราจะมีของเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน ๆ ดังนั้นการออกแบบบ้านที่มีพื้นที่ในการเก็บของในส่วนต่างๆจึงมีความสำคัญมาก พูดง่าย ๆ ก็คือใช้พื้นที่การใช้สอยให้คุ้มค่าและเพื่อสร้างนิสัย 5 ส (สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ สร้างนิสัย) ให้ง่ายขึ้น
อีกอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนเน้นก็คือ การออกแบบบ้านให้เหมาะกับการใช้การจริงๆมากกว่าภาพในฝัน เช่น เคาน์เตอร์ครัวที่อยู่ตรงกลางแทนที่จะอยู่ริมผนังด้านใดด้านหนึ่งอาจดูสวยงามแต่เวลาทำอาหารจริงน้ำมันกลับกระเด็นไปทั่ว เวลาล้างจานทีน้ำก็กระเซ็นไปรอบทิศ อีกตัวอย่างคือหลายๆหมู่บ้านในไทยรวมทั้งบ้านดิฉันเองที่นิยมหน้าต่างขนาดใหญ่รอบบ้านเพราะจะทำให้ดูบ้านกว้างและโปร่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีของมากมายที่จะต้องวาง ดังนั้นในที่สุดเราก็ต้องวางของบังหน้าต่างอยู่ดี จึงเหมาะกว่าหากจะมีหน้าต่างเล็กลงทำให้ลมยังผ่านเข้ามาได้ ในขณะเดียวกันก็วางของได้มากขึ้น หรืออีกตัวอย่างคือ โซฟาตัวใหญ่กลางห้องนั่งเล่น ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตว่าจะมีกี่ครั้งที่สมาชิกทุกคนจะได้นั่งโซฟาตัวนี้พร้อมหน้ากัน จะดีกว่าไหมหากโซฟาตัวเล็กลง หรือมีโซฟาขนาดต่างๆเหมาะกับการใช้งานจริง
ดิฉันประทับใจในความคิดของผู้เขียนที่ไม่ใช่เพียงแต่ออกแบบให้ดูสวย (เหมือนที่หมู่บ้านจัดสรรหลายแห่งชอบทำ) แต่ยังคำนึงถึงผู้ใช้งานในบ้านแบบละเอียดถี่ถ้วนทุกขั้นตอนค่ะ เล่มนี้ไม่ใช่ว่าจะเหมาะกับสถาปนิกเท่านั้น คนธรรมดาแบบเราๆก็สามารถนำเทคนิคมาประยุกต์ใช้กับบ้านของเราได้เป็นอย่างดีค่ะ
ญี่ปุ่นเขาจัดร้านกันแบบนี้ไง
เล่มต่อมาเป็นเรื่องการจัดร้าน เล่มนี้ดิฉันประทับใจมาก เพราะมีคำแนะนำในการจัดร้านละเอียดยิบจนอยากแนะนำให้เจ้าของร้านในไทยทุก ๆ ท่านได้อ่าน เพราะมีเทคนิคการจัดร้านนานาชนิดแบบที่เรียกว่าคุ้มค่าราคาหนังสือสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็น ร้านราเมง ร้านไวน์ ร้านเครื่องดื่ม ร้านซีฟู้ด ร้านหม้อไฟ ร้านซูชิ หรือแม้แต่ร้านอาหารฝรั่ง ร้านพิซซ่า ไปจนถึง ร้านสะดวกซื้อ ร้านเสื้อผ้า ตลอดจนแผงลอย เป็นต้น
ในตอนท้ายเล่มยังมีการพูดถึงวัสดุและอุปกรณ์การตกแต่งแบบต่าง ๆ ที่ล้วนให้ความหมายกับการแต่งร้านทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวัสดุพื้นผิว ผนัง กระจก แสง เสียง กลิ่น การปรับอุณหภูมิห้อง การระบายอากาศ ป้าย ที่นั่ง เคาน์เตอร์ ห้องน้ำของร้าน ครัว ฯลฯ
ทุก ๆ การออกแบบก็เพื่อที่จะให้ลูกค้าสามารถสัมผัสถึงลักษณะของอาหารหรือของที่ขายในร้านให้มากที่สุด และเพิ่มแรงดึงดูดให้ลูกค้าอยากที่จะเข้ามารับประทานหรือรับบริการค่ะ ตัวอย่างที่ดิฉันอ่านแล้วรู้สึกชอบเพราะไม่เคยรู้มาก่อน (ฮ่าๆๆ) ได้แก่
• ร้านของหวานทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน “ความฟรุ้งฟริ้งจึงสำคัญที่สุด” ไม่ว่าจะเป็นลวดลายเค้ก ดีไซน์กล่องและถุง ฯลฯ
• แกงกะหรี่ (แบบอินเดีย) จะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนินทำให้รู้สึกมีความสุข ร้านจึงควรตกแต่งให้แสดงถึงความสุขโดยการใช้สีที่ทั้งหรูหราและสดใส เช่น ชมพู ทอง
• ร้านราเมง สามารถเรียกลูกค้าด้วยการติดพัดลมดูดอากาศให้ลูกค้าที่เดินผ่านร้านได้กลิ่นซุปอันหอมหวนชวนให้ลิ้มลอง นอกจากนี้ที่นั่งยังควรต่ำพอที่ลูกค้าจะเห็นลีลาการสะบัดน้ำออกจากเส้นของเชฟซึ่งเป็นท่วงท่าที่เท่ซะเหลือเกิน (ฮ่าๆๆ)
• ร้านซีฟู้ดปิ้งย่าง ควรทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนอยู่ริมทะเลโดยอาจใช้รถขนของสดขนาดเล็กวิ่งรอบ ทำให้ได้อารมณ์เหมือนอยู่ในตลาดของสด หรือตกแต่งด้วยแห ทุ่นลอยน้ำ ธงฯ
• ร้านหม้อไฟเป็นร้านสำหรับครอบครัวหรือคู่รัก จึงควรตกแต่งให้หรูหราดูดี แบบว่าภาพผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังหม้อไฟที่ควันกำลังพวยพุ่งประหนึ่งภาพที่ถูกถ่ายด้วยซอฟต์โฟกัสยังไงยังงั้น
• ร้านของกระจุกกระจิกสไตล์อบอุ่นใจ ผู้เดินเข้าร้านจะได้ความสุขทางใจจากสินค้าน่ารักน่าเอ็นดูเหล่านั้นและได้ผ่อนคลายความเครียดจากการคร่ำเคร่งทำงาน จึงควรใช้ดีไซน์ธรรมชาติสบายๆสไตล์ “คุณแม่ผู้อ่อนโยน”
รีวิวเป็นน้ำจิ้มแค่นี้ก่อนดีกว่า อยากให้ผู้อ่านได้อ่านแบบฉบับเต็ม ๆ รับรองว่าคุ้มค่า คุ้มราคาแน่นอนค่า วางแผงแล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศค่ะ
ติดตามอ่านเรื่องราวการทำธุรกิจด้วยใจรักจนประสบความสำเร็จได้ในหนังสือ “Japan Success ธุรกิจสำเร็จได้ด้วยใจรัก” และ หนังสือจิตวิทยาความรักความสัมพันธ์ “เมื่อจิตวิทยา ทำให้คนรักกัน” สามารถพูดคุยสื่อสารกับพิชชารัศมิ์ได้ที่ FB: Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– การช่วยเหลือคนอื่น เทคนิคพิชิตโรคซึมเศร้า
– จากเกษตรกรโคนมชาวญี่ปุ่นสู่เจ้าของร้านไอศกรีมโฮมเมดหลากรสตามฤดูกาล
– ชายผู้แต่งงานกับตุ๊กตา (ยาง) หมอนและตัวละครในเกม
– สิ่งดีๆ ที่ได้เรียนรู้จากการทำงานบริษัทญี่ปุ่น
– คนญี่ปุ่นผู้แคร์สายตาคนรอบข้างอย่างมาก
– กล้าที่จะถูกเกลียด ชีวิตที่มีดวงดาวนำทางคือ “การช่วยเหลือคนอื่น”