ประเด็นร้อนคือ ผู้โดยสารถอดเสื้อผ้าต่างๆ ให้น้องแอร์ฯ ของเราซักหมด รวมถึง …. กางเกงใน … ด้วย น้องแอร์ฯ สาวเลยรู้สึกแย่มาก ที่ต้องมานั่งซักกางเกงในให้คนที่ไม่รู้จัก นั่นชวนให้ชาวไทยอย่างพวกเราสงสัยกันว่าคนญี่ปุ่นไม่ถือเรื่องให้คนอื่นซัก กางเกงในหรือ… ดิฉันกำลังร่วมไขข้อสงสัยนี้อยู่ด้วยเช่นกันค่ะ
สัปดาห์ก่อน มีลูกเพจถามเข้ามาเรื่องแอร์โฮสเตสสายการบินหนึ่งทำไวน์หกเลอะผู้โดยสารชั้นธุรกิจชาวญี่ปุ่น เลยโดนเจ้านาย (ญี่ปุ่น) ไล่ให้ไปซักคราบไวน์ให้ผู้โดยสาร
เนื่องจากเนื้อหากระทู้นี้บางส่วนโดนลบไปแล้ว ดิฉันพยายามเสิร์ชและปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน เกริ่นก่อนว่าหากมีประเด็นไหนเข้าใจผิด รบกวนบอกด้วยนะคะเพราะตามดราม่านี้ไม่ทัน
ประเด็นร้อนคือ ผู้โดยสารถอดเสื้อผ้าต่างๆ ให้น้องแอร์ฯ ของเราซักหมด รวมถึง …. กางเกงใน … ด้วย น้องแอร์ฯ สาวเลยรู้สึกแย่มาก ที่ต้องมานั่งซักกางเกงในให้คนที่ไม่รู้จัก นั่นชวนให้ชาวไทยอย่างพวกเราสงสัยกันว่าคนญี่ปุ่นไม่ถือเรื่องให้คนอื่นซักกางเกงในหรือ
ดิฉันกำลังร่วมไขข้อสงสัยนี้อยู่ด้วยเช่นกันค่ะ
คำเตือนก่อนอ่าน
สารภาพว่าข้อมูลที่ใช้ในการเขียนบทความนี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัว การคุยกับคนญี่ปุ่นรอบตัว และการเสิร์ชในเว็บบอร์ดคนญี่ปุ่น แต่อาจจะไม่ใช่คนญี่ปุ่นเป็นเช่นนี้ทุกคน หรือคิดเช่นนี้เสมอไปนะคะ (เช่นเดียวกับกรณีคนไทยอาจไม่ใช่ทุกคนที่มีความเชื่อหรือความเห็นต่างๆ ต่อไปนี้)
ว่าด้วยกางเกงใน
คนไทยเราแต่โบราณถือว่ากางเกงในเป็นของต่ำ เวลาซักผ้าก็ไม่ควรไว้ตำแหน่งบนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามตากกางเกงในในระดับที่สูงเท่าศีรษะหรือสูงกว่า ลึกๆ เรามีความเชื่อว่าบนศีรษะเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ การเอาของต่ำมาไว้ในระดับหัวเป็นเรื่องที่ไม่เป็นสิริมงคล
คนญี่ปุ่นเองก็มองกางเกงในเป็นของที่ไม่ควรนำมาประเจิดประเจ้อเหมือนกัน แต่ไม่ได้มองในลักษณะของ “ต่ำ” หรือ “ไม่เป็นมงคล” อย่างถ้าเด็กๆ เล่นเอากางเกงในมาครอบศีรษะ คุณแม่ไทยอาจรู้สึกว่านั่นมันไม่เป็นมงคลนะ! และรีบห้ามลูก ส่วนคุณแม่ญี่ปุ่นก็ดุลูกเช่นกัน เพียงแต่รู้สึกว่าเด็กใช้กางเกงในผิดฟังก์ชั่น กางเกงในไว้ใส่ข้างล่างนะจ๊ะ ไม่ใช่ใส่ข้างบน เตือนลูกเหมือนเด็กหยิบเอาถุงมือมาสวมเป็นถุงเท้าแบบผิดๆ แค่นั้นเอง
มีอีกเรื่องที่ดิฉันก็ยังไม่กล้าถามคนญี่ปุ่นโต้งๆ จนบัดนี้ … คือ ดิฉันเคยได้รับชุดชั้นในเป็นของขวัญจากคนญี่ปุ่นค่ะ (เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ไม่ใช่ลุงโรคจิตแต่อย่างใด) คนแรกเป็นเพื่อนสมัยมหาลัย นางไปเที่ยวนิวยอร์ค พอกลับมานางก็เอาของฝากมาให้ดิฉัน มีโปสการ์ดเทพีเสรีภาพ และถุงกระดาษเล็กๆ น่ารักๆ ถุงหนึ่ง พอกลับมาเปิดดูกลายเป็นกางเกงในลายแซ่บมาก ดิฉันก็อึ้งๆ ไปเล็กน้อย
ผ่านมาอีกหลายปี ดิฉันก็ได้รับชุดชั้นในเป็นของขวัญอีก จากผู้หญิงที่สนิทกันเหมือนคุณแม่คนหนึ่ง แกบอกว่าเป็นนักเรียนต่างชาติคงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด แกเลยซื้อชุดชั้นในน่ารักๆ เป็นของขวัญให้
ชุดชั้นในน่ารักจริงๆ และแกก็เป็นคนน่ารักเหมือนคุณแม่ก็จริง แต่กระนั้นเถอะ … การได้รับชุดชั้นในจากคนที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว ก็ยังเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับดิฉันอยู่ดี คิดเอาเองว่าคนญี่ปุ่นคงไม่ได้ “ถือ” เรื่องชุดชั้นในมากเท่าบ้านเราค่ะ กางเกงในเป็นแค่ของใช้ส่วนตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น
ว่าด้วยการซักผ้า
คุณแม่ดิฉันเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนอาม่า (คนจีน) ถือเรื่องการซักผ้ามาก เสื้อผ้าผู้หญิง ผู้ชายต้องแยกตะกร้ากันซัก ยิ่งกางเกงในของผู้หญิงเป็นของต่ำต้องซักเอง ไม่งั้นบาป (แต่ของลูกชาย อาม่าซักให้ได้…ยังงงๆ อาม่าจนบัดนี้)
เคยมีรายการญี่ปุ่นไปถ่ายทำชีวิตคนญี่ปุ่นในต่างแดน มีผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่งแต่งงานกับคนบาหลี ก็ต้องตากเสื้อผ้าสามีไว้ที่ราวตากผ้าชั้นบน ส่วนของตัวเองไว้ข้างล่าง คาดว่าคนบาหลีคงมีแนวคิดคล้ายๆ กับอาม่าดิฉันเช่นกัน (คนญี่ปุ่นดูแล้วตกใจมาก โอ้โห กีดกันเพศกันขนาดนี้เลยหรือ)
คนญี่ปุ่นเอง บางครอบครัวก็ถือเรื่องการแยกซักเสื้อผ้าชาย-หญิงเช่นกันค่ะ แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะขนบธรรมเนียมแต่อย่างใด เหตุผลคือ … เสื้อผ้าสามีสกปรกหรือเหงื่อเยอะมาก คุณภรรยาแอบรังเกียจก็เลยแยกซักไปอีกตะกร้าเท่านั้นเอง (ขึ้นชื่อว่า ภรรยาแล้ว … ไม่ว่าชาติใด ก็ Strong เสมอ … อันนี้ไม่ต่างกันทั้งไทยและญี่ปุ่น)
ว่าด้วยการซักกางเกงใน
กลับมาที่คำถามตอนต้นบทความค่ะ เราจะยอมให้คนที่ไม่รู้จักซักกางเกงในของเราไหม …
จะให้ดิฉันสมมติสถานการณ์ข้างต้น ติ๊ต่างให้คนญี่ปุ่นมโนฯ ตามก็อาจจะไม่ได้คำตอบที่สะท้อนความเป็นจริง ดิฉันเลยถามคนสนิทที่เคยเป็นโฮสท์ให้คนญี่ปุ่นมาพักที่บ้านค่ะ
คุณ K (นามแฝง) เล่าให้ฟังว่าจากการให้คนญี่ปุ่นหลากหลายเพศและวัยมาพักที่บ้านทั้งระยะสั้นและระยะยาว เธอบอกแขกเสมอว่ายินดีซักเสื้อผ้าให้ทุกเช้า แขกก็จะเอาเสื้อผ้าใส่ตะกร้าวางไว้หน้าห้อง
คุณ K พบว่าคนญี่ปุ่นรุ่น 50 ปีขึ้นไป แทบไม่ให้เธอซักผ้าให้หรือถ้าจำเป็นจริงๆ คือประเภทมาอยู่หลายคืน ก็ให้ซักแค่เสื้อกางเกง ส่วนชุดชั้นในหรือแม้แต่ถุงเท้า พวกเธอจัดการเอง (คุณ K รับแต่คุณป้าญี่ปุ่น ไม่เคยรับคุณลุงญี่ปุ่นมาโฮมสเตย์มาก่อน)
ส่วนวัยรุ่นที่มาพักมีบางส่วนที่ให้คุณ K ซักกางเกงในให้ด้วย ซึ่งกลุ่มนี้มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย คุณ K เอง ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเด็กพวกนี้ไม่อายชั้นบ้างเลยเหรอ
ดิฉันเองได้ช่วยไขข้อสงสัยคุณ K และข้อสงสัยตัวเองด้วยการไปเสิร์ชต่อ ก็มีคนญี่ปุ่นมาตั้งกระทู้ถามกันอย่างจริงจังว่า เวลาไปโฮมสเตย์ที่ต่างประเทศ ซักเสื้อผ้ากันยังไง หนึ่งในประเด็นนั้น มีเรื่องการซักกางเกงในด้วย
คนญี่ปุ่นก็มาแสดงความเห็นหลากหลาย บ้างก็บอกว่าให้โฮสท์ซักให้ไปเลย เพราะคนตะวันตกไม่ถือเรื่องการซักชุดชั้นในให้คนอื่น (อ้าว….ไม่เห็นมีใครพูดถึงครอบครัวเอเชีย) โยนเข้าเครื่องซักผ้าเหมือนๆ กัน ส่วนคนที่ไม่ให้โฮสท์ซักก็บอกว่า ซักเล็กๆ น้อยๆ ซักเองก็ได้ ไม่กล้าให้โฮสท์ซัก ก็นานาจิตตังกันไป
สรุปว่าที่คนญี่ปุ่นไม่ให้โฮสท์หรือคนแปลกหน้าซักให้ คงเป็นเพราะถือว่ากางเกงในเป็นของส่วนตัว ไม่อยากให้โฮสท์หรือคนอื่นเห็นชุดชั้นในตัวเอง แต่ไม่ใช่ถือเรื่องกางเกงในเป็นของต่ำ … ย้ำอีกรอบ กางเกงใน เป็นของส่วนตัว แต่ไม่ได้มองว่าเป็นของต่ำ
กลับมาประเด็นไวน์เลอะกางเกง …
ถ้าให้เดาผู้โดยสารคงรู้สึกแย่ที่ต้องทนใส่กางเกงในเปียกๆ เลอะไวน์ ก็เลยถอดๆ ออกมาหมด แต่อาจจะไม่นึกว่าน้องแอร์ต้องมานั่งซักให้ตัวเองก็ได้
ส่วนน้องแอร์ฯ คงถือเรื่องกางเกงในของคนอื่นเป็นของต่ำ ไม่อยากจับต้องหรือยุ่ง
ฝั่งนายญี่ปุ่น อาจเห็นว่าเป็นความผิดของน้องแอร์ฯ น้องต้องรับผิดชอบ (คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องการรับผิดชอบความผิดพลาดของตัวเองมากๆ) สำหรับนาย กางเกงในก็เป็นของส่วนตัวชิ้นหนึ่ง เราต้องมีจิตสำนึกรักบริการเป็นหลัก บริการลูกค้าให้ดีที่สุด ก็เลยให้น้องไปซักผ้าทั้งหมดเช่นนั้น คงไม่รู้ว่าธรรมเนียมไทยถือเรื่องกางเกงในพอสมควร
++++
เขียนไปเขียนมา … กลายเป็นเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมในองค์กรไปเลย ส่วนตัวดิฉันใจหนึ่งก็สงสารน้องแอร์ฯ อีกใจก็เข้าใจนายญี่ปุ่น เวลาทำงานในองค์กรที่ต่างวัฒนธรรม ความเข้าใจแนวคิดและวัฒนธรรมของทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ
สุดท้ายนี้ ถามต่อว่าถ้าเกิดสถานการณ์เช่นนี้อีกจะทำอย่างไร ดิฉันไม่แน่ใจว่านายญี่ปุ่นรับรู้เรื่องดราม่านี้หรือไม่ ถ้าทราบเขาน่าจะทำความเข้าใจเรื่องการถือเรื่องของส่วนตัวนี้แล้ว และระวังตัวเองในคราวถัดๆ ไป แต่หากยังไม่ทราบพนักงานไทยในสถานการณ์อาจต้องสื่อสารและพยายามใจเย็นๆ ในการอธิบายเรื่องนี้กับนายตรงๆ ค่ะ
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> เกตุวดี Marumura
อ่าน Japan Gossip ทั้งหมด CLICK HERE
เรื่องแนะนำ :
– ไปทานข้าวคนเดียวสไตล์กุลสตรีญี่ปุ่น
– “ซามะ” “ซัง” “จัง” “คุง” ….มาฝึกวิธีเรียกคนญี่ปุ่นกัน
– สิ่งที่ได้จากการเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น…
– 8 กิจกรรมที่คงไม่ได้ทำชาตินี้ ถ้าเกตุวดีไม่ได้ไปญี่ปุ่น
– ทำไมญี่ปุ่นไม่มีการจอดรถซ้อนคัน
#ซักกางเกงใน