ฝึกให้ไม่คิด…ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีคนเรามีเรื่องร้อยแปดพันเก้าเข้ามาในความคิด ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำในอดีต แผนงานในอนาคต ความกลัว ความหวัง ความวิตกกังวล ความโกรธ ฯลฯ
ดิฉันเคยเขียนรีวิวหนังสือเรื่อง “ฝึกให้ไม่คิด” ของพระญี่ปุ่น ริวโนสุเกะ โคอิเกะ ซึ่งบอกวิธีการฝึกตนไม่ให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านจนถึงขั้นหยุดคิดไม่ได้แม้แต่เก็บไปคิดต่อตอนนอนจนทำให้หลับไม่สนิท
ดิฉันเองเวลาที่งานยุ่งมาก ๆ ก็เกิดความคิดผุดขึ้นมาในหัวไม่ได้หยุดหย่อนทำให้จิตใจปั่นป่วนกระวนกระวายยิ่งนัก เมื่อสังเกตดี ๆ จะพบว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีคนเรามีเรื่องร้อยแปดพันเก้าเข้ามาในความคิด ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำในอดีต แผนงานในอนาคต ความกลัว ความหวัง ความวิตกกังวล ความโกรธ ฯลฯ
เรารู้สึกว่าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ เปรียบเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง คว้าของเล่นชิ้นนึงได้ก็เบื่อ ก็ขว้างทิ้งและไปคว้าชิ้นใหม่ แล้วก็ชิ้นใหม่อีกเรื่อยไป ความคิดของเราก็เช่นเดียวกัน กระโดดจากความคิดนี้ไปความคิดนั้น จากสิ่งนี้ไปสิ่งนั้นวกไปวนมา เปรียบเหมือนคนสติไม่ดีคือเฝ้าแต่วิ่งหนีจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เมื่อคิดมากจิตใจก็จะไม่สงบหม่นหมองยิ่งนัก
ในช่วงสิ้นปีถึงปีใหม่ที่ผ่านมาดิฉันได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานและสามารถจับสาระสำคัญถึงสาเหตุ และวิธีการที่จะหยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวด้วยภาษาง่ายๆของดิฉันเองซึ่งคิดว่ามีประโยชน์มาก ๆ ค่ะ
การคิดปรุงแต่ง ความคิดของคนเรามักเป็นเรื่องที่คิดไปเองเสียเป็นส่วนใหญ่ และคิดปรุงแต่งจากเรื่องเล็ก ๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่ ๆ โดยการใส่อารมณ์ร่วมเข้าไป เช่น หิวข้าวก็รู้สึกว่ากำลังหิวมาก หิวจนทนไม่ได้ หิวจนหน้ามืดตาลายจนเกิดเป็นความโกรธขึ้นมา พอโกรธก็เกิดความทุกข์ขึ้นทั้ง ๆ ที่จริง ๆ หากเราไม่ไปสร้างอารมณ์โกรธเพียงแค่รับรู้ความหิวไปแบบนั้นเราก็จะไม่ทุกข์
หรือเวลาเราไปช็อปปิ้งและอยากได้ของอย่างใดอย่างหนึ่งมาก ๆ เราก็ปรุงแต่งด้วยอารมณ์ความอยาก เช่น ถ้าใส่ตัวนี้แฟนฉันจะชอบ ถ้าได้ชุดนี้มาคงมีแต่คนชื่นชมฉัน เมื่อคิดแบบนี้แล้วก็ก่อให้เกิดความอยากมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้ตัดสินใจซื้อไปโดยไร้สติทั้งๆที่สินค้านั้นอาจจะไม่มีความจำเป็นและราคาอาจจะแพงแสนแพง อีกตัวอย่างเช่น พอตอนเช้ามาจะเช้าไปคุยกับเจ้านายแต่เจ้านายทำหน้าบึ้งก็คิดไปว่าเจ้านายคงโกรธตัวเองแน่ ๆ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเจ้านายอาจกำลังเครียดเรื่องงานของตัวเอง เป็นต้น วิธีแก้คือให้มองสิ่งต่าง ๆ ตามสภาพความเป็นจริงโดยไม่ปรุงแต่งตามอารมณ์ของตัวเองเพียงแต่รับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นไปเฉย ๆ การทำแบบนี้ยังเป็นการทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้นโดยไม่เอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
การยึดถือตัวตนหรืออัตตา หลายคนมักจะคิดปกป้องตัวเองตลอดว่าคนนั้นต่อว่าเรา พูดจาดูถูกเรา เวลาถูกคนเดินเหยียบเท้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะคิดว่าเรากำลังโดนข่มเหง ทั้งๆที่จริงๆแล้วคนๆนั้นไม่ได้ตั้งใจเหยียบเท้าเราแต่เค้าอาจจะบังเอิญเหยียบเท้าใครก็ได้ที่อยู่แถวนั้น หรือหากเราโดนคนขับรถปาดหน้าเราก็คิดไปว่าเขาตั้งใจเหยียดหยามเรา ทั้งๆที่คนขับรถที่ปาดหน้าก็จะปาดใครก็ได้เช่นกันแต่เผอิญรถเราไปอยู่ตรงนั้นพอดี
เพราะเรานั้นยึดถือตัวตนของเราว่าเราดีที่สุด ของ ๆ เรา ครอบครัวของเรา งานของเรา เพื่อนของเรา ต้องดีกว่าใคร ๆ เราอยากจะให้ได้ดังใจไปเสียทุกอย่าง แท้จริงแล้วธรรมะสอนว่าตัวตนของเราไม่มี เพราะร่างกายที่ประกอบเป็นเรานั้นเป็นเพียงแค่อนุปรมาณูที่ประกอบจากดิน น้ำ ลม ไฟ เราเพียงแค่ปรากฏกายขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งและก็ต้องหายไป ดังนั้นจะไปยึดอะไรกับสิ่งที่มันไม่ได้เป็นของเราจริง ๆ เล่า
การคิดถึงอดีตและอนาคต ความคิดที่ฟุ้งซ่านของคนเรามักล่องลอยไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตทั้งที่ชอบและไม่ชอบ หากชอบก็นึกอยากให้เกิดสิ่งดีๆแบบนั้นขึ้นอีก หากไม่ชอบก็มัวแต่เศร้าเสียใจกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วทำให้จิตใจหม่นหมอง หรืออีกอย่างคือคิดไปถึงอนาคตที่ยังไม่เกิด คิดถึงสิ่งที่อยากให้เกิดหรือวิตกกังวลถึงสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดเป็นต้น ธรรมะสอนว่าความคิดเหล่านั้นไม่มีประโยชน์เพราะเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็เป็นอดีตไปแล้ว เรื่องที่ยังไม่เกิดก็เป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง สิ่งเดียวที่สำคัญคือเวลาในปัจจุบัน เหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ คนที่เรากำลังคุยอยู่ ณ เวลานี้ สถานการณ์ขณะวินาทีนี้เพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราสามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะทำให้มันดีหรือไม่ดีอย่างไร
การยึดติดกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรที่อยู่คงทนถาวรและนี่คือกฎธรรมชาติ จนมีประโยคกล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องปกติ แต่การยึดติดกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นต่างหากที่เป็นสิ่งที่ไม่ปกติ” คนเรามักเฝ้าทุกข์คร่ำครวญถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เฝ้าทุกข์หลายๆปีเพราะคนรักตายจากไป สิ้นหวังรู้สึกพ่ายแพ้เพราะสูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงาน เป็นโรควิตกกังวลเพราะสวยน้อยลงหรือเพราะการเปลี่ยนแปลงไปของสภาพร่างกายตามอายุขัย กลัดกลุ้มไปกับความเจ็บป่วยด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมถอย เป็นต้น
ธรรมะสอนว่า ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการไม่ทำความชั่ว หรือทำแต่ความดีหรือเพียงทำบุญเยอะๆแล้วจะดี เพราะหากเราไม่หมั่นฝึกใจของเรา เราก็จะวิ่งหน้าเข้าหาเรื่องทุกข์อยู่เรื่อยไป การทำจิตใจให้บริสุทธิ์คือการปล่อยวางการยึดติด การทำใจให้สงบ การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเลิกคิดฟุ้งซ่านจิตก็จะมีพลังและสามารถดึงดูดสิ่งดีๆที่เราต้องการให้เข้ามาในชีวิตได้ค่ะ
สามารถติดตามเรื่องราวของการประสบความสำเร็จในแวดวงญี่ปุ่นได้ในหนังสือ “กัมบัตเตะเนะ เพราะความสำเร็จไม่มีทางลัด” และสามารถพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ได้ที่ FB: Life Inspired by พิชชารัศมิ์
ทักทายพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ ได้ที่ >>> Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– กัมบัตเตะเนะ สู้ ๆ ในปีใหม่ 2560 นะคะ
– บริษัท Jeplan กับ Delorean จากภาพยนตร์ Back to the Future ที่ขับเคลื่อนจากขยะรีไซเคิล
– ตกหลุมรักในงาน
– หลักการบริหารลูกน้องของ Konosuke Matsushita ผู้ก่อตั้งบริษัทพานาโซนิค
– Shizen Energy ผลิตพลังงานสะอาด และไม่เป็นทาสของเงิน
– ทำไมใครๆ ก็ชอบไปญี่ปุ่น
#ฝึกให้ไม่คิด