Ramen Koji ราเมงที่ปรุงด้วยหัวใจและจิตวิญญาณ…เสน่ห์ของราเมงก็คือ ในแต่ละจังหวัดจากฮอกไกโด เกียวโต โอซาก้า โตเกียว ฟุกุโอกะจนถึงโอกินาว่า ราเมงมีลักษณะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นซึ่งมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นอาหารประจำชาติญี่ปุ่น
โคจิ ทาชิโร คือศิษย์เอกของเซียนราเมงญี่ปุ่น ยามากิชิ คาซึโอะ ผู้มีชื่อเสียงในวงการราเมง และโด่งดังในฐานะผู้คิดค้นสึเคเมงจากวิธีการรับประทานของเขาเอง โดยการแยกเส้นและซุปออกจากันทำให้เส้นไม่อืด จากการทำร้านที่ยุ่งมากทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลารับประทาน สึเคเมงทำให้สะดวกในการรับประทานเพราะสามารถเอาเส้นจุ่มลงในซุปและค่อย ๆ รับประทานยามใดก็ตามที่ว่าง ต่อมาลูกค้าอยากลองรับประทานตามวิธีแปลก ๆ แบบยามิกิชิบ้างจนเกิดมาเป็นเมนูสึเคเมงขึ้นมา
โคจิซึ่งได้ทำงานในแวดวงอาหารมากว่า 15 ปีก่อนจะได้พบยามากิชิตัวจริง โคจิได้เล่าถึงความฝันของตัวเองในการเป็นเจ้าของกิจการให้ยามากิชิฟัง หลังจากฟังจบยามากิชิก็ได้เข้ามาจับมือโคจิและพูดว่า “คุณทำได้ คุณสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้” หลักคำสอนของยามากิชิที่เขาได้เรียนรู้สำคัญ 3 ประการก็คือ การให้อภัย การขอบคุณ และความกตัญญู
การให้อภัย ยามากิชิย้ำอยู่เสมอว่า “บอลที่ปาไปย่อมต้องเด้งกลับมา” คนรอบตัวเรามีทั้งคนดีและคนไม่ดี สำหรับคนไม่ดีสักวันหนึ่งเขาจะต้องได้รับการลงโทษเอง เพราะฉะนั้นเราควรให้อภัยเขาแทนที่จะไปตัดสินโทษเพื่อสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวเรา
ข้อสองคือ ความรู้สึกขอบคุณ คนญี่ปุ่นมักพูดว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” แต่ยามากิชิสอนว่าคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรามีทั้งลูกค้า ซัพพลายเออร์ ได้แก่ คนส่งวัตถุดิบต่าง ๆ ที่มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน หากปราศจากคนเหล่านี้ร้านก็ดำเนินไปไม่ได้ และยังมีพนักงานที่ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ร้านประสบความสำเร็จ ดังนั้นเราควรขอบคุณคนที่เกี่ยวข้องทุก ๆ คน
ข้อสาม คือ ความกตัญญูรู้คุณ ยามากิชิสอนว่าเราไม่ควรจะลืมพระคุณของคนต่างๆที่ให้ความช่วยเหลือ โคจิเติบโตมาโดยการทำการค้าซึ่งคิดถึงแต่เรื่องเงินๆทอง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจว่ายามากิชิไม่หวงสูตรและยอมให้เชฟรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้วิธีการทำราเมงทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ยามิกิชิยังยกร้านสึเคเมงของตัวเองให้โคจิโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน โคจิได้รู้ซึ้งถึงข้อนี้ดี เขาจึงตอบแทนพระคุณของยามากิชิโดยช่วยให้ลูกศิษย์ของเขาประสบความสำเร็จด้วย โคจิบอกว่า “ธุรกิจอื่น ๆ พูดถึงแต่เรื่องเงิน เงิน และเงิน แต่ความเอื้ออาทรของยามากิชิทำให้เขาอยากที่จะช่วยเหลือคนอื่นต่อไปเช่นเดียวกัน”
โคจิได้อธิบายเกี่ยวกับการเรียนรู้จากยามากิชิว่า เป็น “การประสานกันระหว่างจิตใจและหัวใจ” ซึ่งเขาบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่มากกว่าเพียงการได้เรียนรู้เทคนิคและสูตรการทำราเมง แต่มันคือปรัชญาแห่งความเอื้ออาทรและมิตรไมตรีซึ่งกลั่นออกมาจาก “หัวใจ” ให้เป็นราเมงแต่ละชามที่ถูกเสิร์ฟจากห้องครัว ซึ่งโคจิเองตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบคนแบบยามากิชิมาก่อน ปัจจุบันโคจิอายุเพียง 49 ปีและถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีในวงการราเมง เขามีร้านที่เป็นเจ้าของเอง สี่ร้าน ร้านที่ถือหุ้นหกสิบร้านเฉพาะที่ญี่ปุ่น และยังมีร้านหุ้นส่วนที่จีน ไทย และฮ่องกง งานสำคัญของเขาคือการสร้างลูกศิษย์และผู้บริหารที่จะทำราเมงเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและมีความสุข โดยนำสิ่งที่ยามากิชิสอนมาถ่ายทอดเพื่อการเผยแพร่วัฒนธรรมบะหมี่ไปทั่วโลก
โคจิกล่าวว่าเสน่ห์ของราเมงก็คือ ในแต่ละจังหวัดจากฮอกไกโด เกียวโต โอซาก้า โตเกียว ฟุกุโอกะจนถึงโอกินาว่า ราเมงมีลักษณะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นซึ่งมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นอาหารประจำชาติญี่ปุ่น
การทำราเมงไม่ได้มีแต่เพียงสูตรการทำเท่านั้น แต่หากปราศจากจิตวิญญาณและหัวใจ ราเมงชามนั้นก็คงจะจืดชืดไร้รสชาตินะคะ สำหรับที่ประเทศไทย สามารถหาชิมราเมงหนึ่งในร้านหุ้นส่วนของโคจิได้ที่ โยเนดะ ราเมง อารีน่า 10 ค่ะ
ทักทายพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ ได้ที่ >>> Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– บริษัท Jeplan กับ Delorean จากภาพยนตร์ Back to the Future ที่ขับเคลื่อนจากขยะรีไซเคิล
– ตกหลุมรักในงาน
– หลักการบริหารลูกน้องของ Konosuke Matsushita ผู้ก่อตั้งบริษัทพานาโซนิค
– Shizen Energy ผลิตพลังงานสะอาด และไม่เป็นทาสของเงิน
– ทำไมใครๆ ก็ชอบไปญี่ปุ่น
– Eriko Horiki ผู้เปลี่ยนโฉมหน้าวงการกระดาษทำด้วยมือของญี่ปุ่น (和紙 วาชิ) โดยไม่ต้องเรียนศิลปะ
#ramen koji