กว่า 60 ปีแล้ว ที่มินามาตะ (Minamata) เมืองเล็กๆ อันแสนสงบสุขทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เป็นกรณีตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องโรคมินามาตะ (Minamata-byo, 水俣病) หรือ Minamata Disease
กว่า 60 ปีแล้ว ที่มินามาตะ (Minamata) เมืองเล็กๆ อันแสนสงบสุขทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ได้รับการกล่าวถึงในฐานะกรณีตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องโรคมินามาตะ (Minamata-byo, 水俣病) หรือ Minamata Disease
เมืองมินามาตะ (Minamata) เป็นเมืองเล็กๆ ของจังหวัดคุมาโมโต้ (Kumamoto Prefecture) บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองซึ่งมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม โอบล้อมด้วยเทือกเขาอันเขียวชอุ่ม โดยมีพื้นที่ด้านหนึ่งเปิดโล่งออกสู่ทะเล นั่นก็คือบริเวณอ่าวมินามาตะ ส่วนหนึ่งของทะเลชิรานุอิ (Shirunui Sea) เมืองนี้มีประชากรเพียงไม่กี่หมื่นคน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ตามสไตล์พื้นที่แถบชนบทของญี่ปุ่น และประชากรส่วนใหญ่ก็ประกอบอาชีพเป็นชาวประมง
ภายหลังก็เริ่มมีการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือโรงงานผลิตปุ๋ยของบริษัทชิสโซะ (Chisso Corporation) ที่เปิดกิจการขึ้นในปี 1908 และต่อมาก็พัฒนาขึ้นเป็นโรงงานผลิตสารเคมีใหญ่โต ซึ่งโรงงานของบริษัท Chisso นี้เป็นตัวแปรสำคัญของความเปลี่ยนแปลงของเมืองมินามาตะอันแสนสงบเลยทีเดียว
ในปี 1956 (57 ปีที่แล้ว) ได้เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับครอบครัวของนายโยชิมิสึ ทานากะ ช่างทำเรือประมงแห่งหมู่บ้านทสึคิอุระ (Tsukiura) ในเมืองมินามาตะ นายทานากะมีลูกทั้งหมด 6 คน ซึ่งจู่ๆ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 1956 ลูกสาวคนที่ 5 ชื่อว่า ชิซุโกะ วัย 6 ขวบ เกิดอาการผิดปกติอย่างรุนแรง ชิซุโกะตาพร่า จับตะเกียบไม่ค่อยได้ พูดลำบาก และชักกระตุกบ่อยๆ นายทานากะจึงพาเธอไปหาหมอ ไปอยู่หลายครั้งก็หาสาเหตุไม่พบ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจนำชิซุโกะส่งไปที่โรงพยาบาลของบริษัทชินนิฮอนชิสโสะเรียวคาบุชิคิไคชะ (New Japan Nitrogenous Fertilizer Inc.) ที่ตอนหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น Chisso Corporation นั่นเอง
ระหว่างที่ทีมแพทย์กำลังหาสาเหตุอาการป่วยของชิซุโกะอยู่นั้น …ในวันที่ 29 เมษายน เพียงไม่ถึงเดือนหลังจากชิซุโกะเริ่มป่วย น้องสาวคนเล็กของเธอ จิตสึโกะ วัย 3 ขวบ ก็เริ่มมีอาการคล้ายกัน นอกจากนี้จิตสึโกะยังนั่งไม่ได้ กินไม่ได้ และพูดไม่ได้ ทั้งๆ ที่เธอเป็นเด็กฉลาดและโตเกินวัย จิตสึโกะถูกนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลเดียวกันกับพี่สาว
น่าเศร้าที่ชิซุโกะเสียชีวิตไปด้วยวัยเพียง 8 ขวบ 1 เดือน ในวันที่ 2 มกราคม 1959 ส่วนจิตสึโกะก็ต่อสู้กับโรคร้ายนี้มาจนถึงปัจจุบัน แม้โรคมินามาตะจะทำให้เธอต้องพิการก็ตาม
หลังจากนั้นในวันที่ 1 พฤษภาคม ..นายแพทย์ฮาจิเมะ โฮโซคาวะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Chisso ในขณะนั้น จึงได้ทำรายงานส่งไปยังสำนักงานสาธารณสุขของเมืองมินามาตะ โดยแจ้งว่า “เกิดโรคระบาดที่ไม่ทราบชื่อชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นโรคที่มีอาการต่อระบบประสาทส่วนกลาง” ภายหลังจึงถือว่าวันที่ 1 พฤษภาคม 1956 เป็นวันที่ค้นพบ “โรคมินามาตะ” ขึ้นเป็นครั้งแรก ชิซุโกะและจิตสึโกะกลายเป็นผู้ป่วยสองรายแรกที่ถูกพบว่าเป็นโรคนี้ แล้วยังพบว่ามีเด็กอีกถึง 8 คน เริ่มมีอาการลักษณะเดียวกัน หลักๆ ก็คือมีอาการบวมหรืออักเสบที่สมอง สมองถูกทำลาย เนื่องจากเกิดความผิดปกติอย่างรุนแรงที่ระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งแม้ในช่วงแรกๆ ของการระบาด มีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่มีอาการของโรคมินามาตะ จนบางคนเข้าใจผิดว่าเป็นการระบาดของโรคโปลิโอ แต่ภายหลังก็เริ่มพบผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย
โรงพยาบาล Chisso ระดมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันค้นหาสาเหตุอยู่นาน แต่ก็ยังไม่สามารถหาต้นตอของปัญหาได้ แถมยังมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทางโรงพยาบาลจึงมีการขอความช่วยเหลือไปยังคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยคุมาโมโต้ให้ช่วยทำการวิจัย ค้นหาสาเหตุของโรคประหลาดนี้ โดยใช้เวลาถึง 3 ปี จึงได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนออกมาว่าอาการของโรคมินามาตะนั้น เกิดจากสารประกอบอินทรีย์ของปรอทที่ชื่อว่า methyl mercury ซึ่งปนเปื้อนมากับน้ำเสียที่โรงงานอุตสาหากรรมของบริษัทชิสโสะปล่อยลงสู่อ่าวมินามาตะโดยไม่ผ่านการบำบัด สารพิษเหล่านั้นถูกพบมากเป็นพิเศษที่บริเวณอ่าวมินามาตะ และกระจายไปทั่วบริเวณชายทะเลชิรานุอิ methy mercury เข้าไปสะสมอยู่ในตัวสัตว์น้ำ ทั้งปลาและหอย ที่ชาวประมงจับมากินและนำไปขาย จนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อร่างกายของผู้บริโภค เป็นเหตุของอาการผิดปกติต่างๆ ในผู้ป่วยโรคนี้
ภายหลังผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยคุมาโมโต้ออกมา ชาวประมงกว่า 4,000 คนซึ่งไม่ค่อยพอใจโรงงาน Chisso เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะการปล่อยน้ำเสียของโรงงาน Chisso ส่งผลให้พวกเขาจับปลาได้น้อยลง พวกเขาก็สุดทนในที่สุด และพังประตู บุกเข้าไปในโรงงาน จนถูกเจ้าหน้าที่จับไปเป็นร้อยคนในข้อหาบุกรุกและทำลายทรัพย์สิน สุดท้ายชาวประมงกลุ่มนี้ก็ถูกบีบให้ยอมรับเงินชดเชยค่าเสียหายเกี่ยวกับการปล่อยสารปรอทลงสู่อ่าวมินามาตะในอัตราที่ต่ำมาก แล้วก็จำต้องปิดปากเงียบทั้งๆ ที่ยังคงไม่พอใจบริษัท Chisso อยู่ เพราะโรงงานก็ยังคงปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารปรอทลงสู่อ่าวมินามาตะต่อไป แม้ต่อมาบริษัท Chisso จะพยายามสร้างภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเมือง โดยสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นมา กระทั่งประธานบริษัทยังเคยโชว์ดื่มน้ำสะอาดที่อ้างว่าผ่านระบบการบำบัดน้ำเสียของโรงงานต่อหน้าแขกเรื่อจำนวนมาก รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดคุมาโมโต้ด้วย แต่ 10 ปีให้หลังก็ปรากฏความจริงว่าน้ำที่ประธานบริษัทดื่มนั้นเป็นน้ำสะอาดที่ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการผลิตใดๆ ของโรงงาน ดังนั้นจึงยังไม่ได้ผ่านกระบวนการบำบัดน้ำเสียแต่อย่างใด เพราะความจริงระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงาน Chisso ในขณะนั้นไม่สามารถกำจัดสาร methyl mercury ได้เลย
แม้จะใช้ความอดทนกันเป็นอย่างมาก สุดท้ายภาคประชาชน รวมถึงผู้เสียหาย 138 คน ก็ได้ทำเรื่องฟ้องร้องบริษัท Chisso ต่อศาลจังหวัดคุมาโมโตะ ในปี 1968 ซึ่งต่อมาในปี 1973 ศาลก็ได้ตัดสินให้บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายให้ชาวเมืองราว 158 ล้านบาท (การจ่ายค่าเสียหายนี้ยังคงดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน) คดีนี้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ถูกกล่าวถึงในฐานะคดีที่เป็นชัยชนะขั้นสูงสุดของชาวบ้านตาดำๆ คนธรรมดา ถือเป็นกรณีศึกษาให้กับชาติอื่นๆ แล้วยังส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่น กำหนดกฎหมายใหม่ออกมาเพื่อควบคุมขั้นตอนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมให้มีการใช้ส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นพิษในอัตราที่จำกัดอีกด้วย
กรณีมินามาตะนี้ เคยถูกนำมาเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในหลายโอกาสทั่วโลก รวมถึงกรณีที่เกี่ยวกับกฎระเบียบการควบคุมมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุดของไทยเราด้วย
แต่มินามาตะ (รวมถึงคนญี่ปุ่น) นั้น เป็นเมืองที่น่าอัศจรรย์ใจมาก …เชื่อหรือไม่ หลังจากที่ต้องเผชิญกับวิกฤตมลพิษอย่างหนัก จนส่งกระทบกับคุณภาพชีวิตอย่างยิ่งยวด มีผู้คนเสียชีวิตไปหลายพันคน โดยเฉพาะพวกเด็กๆ แล้วยังต้องใช้เงินฟื้นฟูอีกหลายแสนล้านเยน รวมถึงต้องลงทุนปิดอ่าวมินามาตะถึงกว่า 23 ปี เพื่อขุดลอกตะกอนใต้น้ำ เพื่อนำไปฝังกลบบนพื้นที่กว่า 58 เฮคเตอร์ เป็นการลงทุนมหาศาลที่คุ้มค่ามาก เพราะในที่สุดเมืองนี้ก็สามารถกลับพลิกฟื้นคืนมา พิสูจน์ได้จากรางวัลเมืองที่โดดเด่นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ในการประกวดเมืองแห่งสิ่งแวดล้อมในปี 2005 – 2006 มินามาตะกลายเป็นเมืองที่ประชากรใส่ใจ และระมัดระวังกับเรื่องสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก จนได้รับการรับรองเป็นเมือง Eco-Town อีกด้วย
เคยผู้ป่วยโรคมินามาตะคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมภายนอกได้ เมืองมินามาตะจึงหันมาเปลี่ยนตัวเอง”
*เอกสารอ้างอิงจากสำนักจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษของไทย (กันยายน 2012)
โรคมินามาตะ
เกิดจากพิษของสารปรอท (methyl mercury) ส่งผลให้เด็กเกิดอาการขาดสารอาหาร วิกลจริตแบบอ่อนๆ กรีดร้อง ตาดำขยายกว้าง ลิ้นแห้ง โดยไม่ทราบสาเหตุ มีปัญหาด้านสายตา ฟังและพูดได้น้ยอ แขนขาเคลื่อนไหวลำบาก ทรงตัวไม่ได้ ตัวชา กล้ามเนื้ออ่อนแอ มีอาการกระตุก ตัวแข็งบ้างเป็นบางครั้ง แขนขาบิดเบี้ยว ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจถึงขั้นวิกลจริต ง่อยเปลี้ยเสียขา เข้าสู่อาการขั้นโคม่าและเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ผู้หญิงที่มีอาการของโรคมินามาตะ หากคลอดลูก ลูกก็จะมีอาการแบบเดียวกัน และหมากับแมวก็ถูกพบว่ามีอาการของโรคนี้ได้ด้วย
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :
http://en.wikipedia.org/wiki/Minamata_disease
www.youtube.com/watch?v=ihFkyPv1jtU
http://www.soshisha.org/english/10tishiki_e/10chisiki_3_e.pdf
http://www.einap.org/envdis/Minamata.html
http://www.nimd.go.jp/archives/english/tenji/a_corner/a01.html
http://www.env.go.jp/chemi/tmms/pr-m/mat01/en_full.pdf
http://www.japan-guide.com/e/e4527.html
http://www.minamata-tour.org/en/disease/
http://wqm.pcd.go.th/km/images/stories/agriculture/2555/minamata.pdf
http://www.npc-se.co.th
http://www.documentingreality.com/forum/f149/minamata-mercury-poisoning-93661/
http://www.47news.jp/news/photonews/2013/03/post_20130320080203.php
http://blogs.yahoo.co.jp/thirtymoondream999jaws/30889253.html
http://zura-mn.blogspot.com/