หลายๆ คนถ้าพูดถึงการ์ตูน อนิเมชั่น อาจจะยังคงนึก โดเรมอน อาราเล่ หรือดราก้อนบอล ที่เราดูกันตอนเด็กๆ ซึ่งพอโตมาเราก็อาจจะไม่ได้อินกับมันเหมือนแต่ก่อน ..จึงอาจทำให้พอพูดถึง อนิเมชั่น เราจะนึกว่ามันคือเรื่องของเด็กไปด้วย จริงๆ แล้วผมก็เคยรู้สึกอย่างนั้นเลยแหละ
ผมเป็นผู้ชายอายุ 20 ตอนปลายคนนึง ที่ชื่นชอบ อนิเมะ หรือ อนิเมชั่น หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “การ์ตูน” รวมไปถึง มังงะ หรือ “หนังสือการ์ตูน”
หลายๆ คนอาจจะมองว่า มันเป็นเรื่องของเด็กๆ ส่วนผู้ใหญ่ที่ชอบ บางทีก็จะถูกมองว่าเป็น “โอตาคุ” หรืออารมณ์ประมาณพวกแอบจิต
จริงๆ แล้วคำแปล ของคำว่า โอตาคุ เท่าที่ผมพอจะหาข้อมูลมาได้มันแปลว่า “บ้าน” ครับ พอพูดถึงคน ทีนี้มันจะแปลว่า พวกที่หมกมุ่น อยู่กับอะไรบางอย่างแบบสุดๆ จนไม่ยอมออกไปทำอะไรนอกบ้าน …ผมอาจจะไม่ได้คลั่งไคล้มันขนาดนั้น แต่ถ้าเทียบกับการดูละคร ดูซีรี่ย์ หรือดูหนัง ผมคงตอบได้เต็มปากว่าผมชอบ ดูอนิเมชั่น หรืออ่านมังงะ มากกว่า และถ้าให้ความสำคัญผมคง จัดให้มันอยู่ในอันดับที่ 3 รองจาก การฟังเพลง และเล่นดนตรี
หลายๆ คนถ้าพูดถึงอนิเมชั่น อาจจะยังคงนึก โดเรมอน อาราเล่ หรือดราก้อนบอล ที่เราดูกันตอนเด็กๆ ซึ่งพอโตมาเราก็อาจจะไม่ได้อินกับมันเหมือนแต่ก่อน ..จึงอาจทำให้พอพูดถึง อนิเมชั่น เราจะนึกว่ามันคือเรื่องของเด็กไปด้วย จริงๆ แล้วผมก็เคยรู้สึกอย่างนั้นเลยแหละ
เพราะในอดีต อาจจะจริงที่ อนิเมชั่น หรือ การ์ตูน นั้นทำมาเพื่อเด็กๆ แต่เดี๋ยวนี้ อนิเมชั่น นั้นก็เจริญเติบโต ขึ้นเช่นเดียวกันกับ งานในแขนงอื่นๆ เช่นพวกเกม ที่ปัจจุบันความกว้างของช่วงอายุคนที่เล่นนั้นกว้างขึ้นเยอะมาก
อนิเมชั่นก็เช่นกัน หลายๆ เรื่องที่ทำมาเพื่อกลุ่มคนที่โตขึ้น บางเรื่องอาจจะมีเนื้อหาไม่เหมาะกับเด็กๆ ด้วยซ้ำไป และปัจจุบันก็เริ่มมีคนที่อายุเกินคำว่า “เด็ก” ที่ยังคงชื่นชอบอนิเมชั่น โดยที่ไม่ได้เป็น “โอตาคุ” มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ส่วนตัวแล้วผมอยากให้ลองมองว่า อนิเมชั่น ก็เป็นเหมือนภาพยนตร์สักเรื่อง หรือซีรี่ย์ หรือละคร ที่เราๆ ดูกัน แต่เราแค่ใช้ภาพวาดในการดำเนินเรื่อง
หากถามผมว่าทำไม ผมถึงชอบอนิเมชั่น มันอาจเริ่มต้นมากจาก “มังงะ” หรือ “หนังสือการ์ตูน” ในสมัยผมเด็กๆ อนิเมชั่น เป็นอะไรที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าสมัยนี้ มังงะจึงเป็นโลกที่กว้างกว่าสำหรับคนที่ชอบการ์ตูน เรื่องแรกที่ผมได้อ่าน คือ แสลมดังค์ (Slamdunk) การ์ตูนเกี่ยวกับ บาสเก็ตบอลที่ดังมากๆ และก็อ่านมากขึ้นเรื่อยๆ …จนพอยุคที่ผมเข้าเรียนในมหาลัย ก็ยังติดตามมังงะ หลายๆ เรื่องที่ชอบ เช่น One Piece, JoJo, Naruto และอีกหลายๆ เรื่อง
และครั้งแรกที่ทำให้ผมเริ่มชอบ อนิเมชั่น ก็คือเรื่อง Gundam Seed ครับ ผมไปที่ร้านขาย DVD และเห็นปก Gundam Seed ผมเพิ่งรู้ว่า กันดั้มมันมีภาคใหม่แล้ว จึงลองซื้อมาดู เพราะส่วนตัวแล้วชอบกันดั้ม แต่ยังไม่เคยได้ดู แบบที่เป็นภาพเคลื่อนไหวเลย พูดไปก็อายจัง…สมัยก่อนผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเรียกการ์ตูนที่เป็นภาพเคลื่อนไหวว่า อนิเมชั่น ผมเรียกว่า “ภาพเคลื่อนไหว” อยู่พักใหญ่ๆ เลยแหละ…
กลับมาที่ Gundam Seed… ครั้งแรกที่ได้เปิดดู ผมตกใจมาก ที่ภาพที่ผมเห็นมัน ไม่เหมือนกับ โดเรมอน อาราเล่ หรือ ดราก้อนบอล ที่ผมเคยดู มันสวยงามกว่า ความละเอียดในตัวงาน ความสมจริงมันมากขึ้นเยอะมาก ผมรู้สึกว่ามันตอบคำถามในใจของผมได้หมด ว่า Gundam อวกาศ โคโลนี่ การต่อสู้ระหว่างหุ่นยนต์เหล่านั้น ถ้ามันเกิดขึ้น จะเป็นยังไง ผมประทับใจมากๆ และรู้สึกว่า การ์ตูน มัน “โต” ตามผมมาด้วยกัน แม้กระทั่งเนื้อเรื่องก็สนุก จนผมไม่คิดว่ามันเป็นแค่การ์ตูนเด็กๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอบอกไว้ก่อนว่านี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผม ที่มีต่องานอนิเมชั่นนะครับ แต่ผมเชื่อว่าถ้าใครที่เคยดูอนิเมชั่นเรื่องนี้ ก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างจากผม …หลังจากดู Gundam Seed จบทั้ง 50 ตอน ผมก็เริ่มชอบงานอนิเมชั่น และเริ่มอยากดูเรื่องอื่นๆ ตามมา
และเมื่อผมได้เจอกับ อนิเมชั่น เรื่อง สุสานหิ่งห้อย หรือ Hotaru no Haka
การได้ดูอนิเมชั่น เรื่องนี้ทำให้ผมได้เปิดโลกของ อนิเมชั่น ในอีกมุมมองหนึ่ง และพอผมค้นหาที่มาของเรื่องนี้ก็ยิ่งทึ่ง เพราะมันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 โดยสตูดิโอจิบลิ
ซึ่งในญี่ปุ่นเอง สตูดิโอนี้โด่งดังมาก จนถึงขั้นมีพิพิธภัณฑ์จิบลิ (Mitaka Forest Ghibli Museum) ที่ต้องจองกันเป็นเรื่องเป็นราวถึงจะเข้าไปดูได้
และที่ผมบอกว่า “สุสานหิ่งห้อย” ได้เปิดโลกของผม เพราะความต่างในด้านของเนื้อเรื่อง พอได้ดูจบ ผมพูดได้เต็มปากว่า อนิเมชั่นเรื่องนี้ คือภาพยนต์ดราม่าดีๆ เรื่องหนึ่งเลย …เนื้อเรื่องเล่าถึง ความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านตัวละครหลัก 2 ตัวนั้นคือ เซตะ อายุ 14 ปี และ น้องสาว เซซึโกะ อายุ 4 ขวบ พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดให้ได้จากภาวะสงครามนี้ จากครอบครัวที่เคยมี เหลือกันเพียงแค่สองคน พี่ชายต้องทำทุกอย่างเพื่อให้น้องสาวของเขารอดชีวิตให้ได้ แม้แต่ต้องฝ่าดงระเบิดเข้าไปค้นหาอาหารในบ้านที่ถูกทิ้งระเบิด
อาหารและยาเป็นสิ่งที่หายากมากในตอนนั้น พอเสบียงหมดลง น้องของเขาก็..สุดท้ายก็เป็นโรคขาดสารอาหาร ภาพที่สะเทือนใจที่สุดสำหรับผมคือ ฉากท้ายเรื่องที่พี่ชายกลับมาจากการพยายามไปหาอาหารมาให้น้องและกลับมาพบน้องสาวของเขาที่กำลังอมลูกแก้วสีๆ ด้วยความหิว เพราะคิดว่าเป็นลูกกวาด น้องเขาที่เหลือแรงไม่มาก แต่ก็พยายามที่จะหยิบก้อนดินก้อนกลมๆ ขึ้นมาส่งให้พี่ชายและบอกว่า “พี่คะ กินข้าวปั้นซิคะ” เท่านั้นแหล่ะครับ… และต่อกันเป็นฉากที่ถูกพูดถึงมากที่สุดฉากหนึ่ง และยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในฉากที่เศร้าที่สุดของภาพยนตร์ คือฉากที่พี่ชายพยายามป้อนแตงโมให้น้องกินแต่ในตอนนั้นเซซึโกะก็ไม่เหลือแรงที่จะกินได้มาก และหลังจากกินไปสักพัก เซซึโกะก็หลับไป และก็ไม่ตื่นอีกเลย พี่ชายได้แต่กอดร่างน้องสาวไร้ลมหายใจผ่านค่ำคืนที่หนาวเย็น และพอรุ่งเช้าเขาก็ต้องเผาน้องสาวด้วยมือของเขาเอง สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่เศษกระดูกของน้องสาวเขาที่เขาเก็บไว้ในกล่องลูกอมที่เป็นเหมือนตัวแทนของน้องสาวของเขา
เด็กๆ ในภาวะสงครามก็คงไม่ต่างกับหิ่งห้อย ที่ความหวังในการเอาชีวิตรอดนั้นริบหรี่เหลือเกิน… เล่ามาอาจจะฟังดูหดหู่ แต่มันคือเรื่องจริงที่ถูกถ่ายทอดเป็นอนิเมชั่น และเรื่องนี้เองที่ผมรู้สึกว่าผู้สร้าง เขาไม่ได้ทำมาแค่เพื่อให้เด็กๆ ได้ดู แต่เขาอยากให้ข้อความเหล่านี้ถูกส่งต่อไปถึงคนในวัยอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
และนี่คือจุดเริ่มต้นของความชอบอย่างจริงจังในอนิเมชั่นของผม… ผมเองไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้อนิเมชั่นหรืออะไร เพียงแต่ชอบใน “ภาพเคลื่อนไหว” เหล่านี้ และรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์บางอย่างในตัวมันเอง และผมว่าภาพวาดนั้นเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่างได้อย่างที่ไม่มีสิ่งไหนจะมาทดแทนได้
และถ้าคุณยังยืนยันว่าอนิเมชั่นหรือมังงะเป็นเรื่องของเด็กๆ โปรดติดตาม ผมจะมาเล่าอะไรสนุกๆ เกี่ยวกับอนิเมชั่นและมังงะให้ฟังกันในตอนต่อไป…:)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– BECK ปุปะจังหวะฮา การ์ตูนดนตรีสร้างแรงบันดาลใจ
– Yami shibai อนิเมะผีญี่ปุ่นสุดสยอง !!
– ภัตตาคาร BARATIE สาขาโอไดบะ ร้านอาหารลอยทะเลในเรื่องวันพีช
– มารู้จักสัตว์หางในการ์ตูนเรื่องนารุโตะกันเถอะ!
– ผลงานภาพยนตร์อนิเมชั่นของ Studio Ghibli
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :
jonnyfendi.blogspot.com
www.forafewmoviesmore.com/
inexcelsis-studios.com
gallery.minitokyo.net
www.mthai.com
www.rongpleng.com
www.bloggang.com
#การ์ตูน