พาไปดูวัดพุทธที่เมืองนารา เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น ไปย้อนยุคดูการฝึกยุทธของยอดฝีมือในเงามืด…นินจา! ปิดท้ายด้วยของกินสดๆ จากทะเลเรียกความหิวกันอีกแล้วจ้า
ในตอนที่ 2 นี้ รายการผจญภัยไร้พรมแดน พาไปดูวัดพุทธที่เมืองนารา เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น ไปย้อนยุคดูการฝึกยุทธของยอดฝีมือในเงามืด…นินจา! ปิดท้ายด้วยของกินสดๆ จากทะเลเรียกความหิวกันอีกแล้วจ้า
มาเที่ยวภูมิภาคคันไซกันต่อเลยดีกว่าจ้า…
มาถึงนารา (Nara Prefecture) ก็ควรต้องไปสักการะพระใหญ่ “ไดบุทสึ” ที่วัดโทไดจิ (Todaiji)ส่วนหนึ่งของแหล่งมรดกโลก “Historic Monuments of Ancient Nara” ที่ทาง UNESCO ได้บันทึกเอาไว้กันสักหน่อย วัดนี้นักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ ถ้าเคยมาจังหวัดนี้ ก็น่าจะเคยมาเยือนกันแล้ว แต่เชื่อว่าหลายๆ คน ก็คงมาแค่ถ่ายรูป เก็บภาพสวยๆ ของอาคารเก่าแก่ ที่สร้างขึ้นจากภูมิปัญญาชาวบ้านสมัยก่อนได้อย่างมั่นคง แข็งแรง และงดงาม … กลับไปเป็นที่ระลึก
ในขณะที่คุณติ๊ก ได้นำเสนอเรื่องราวน่าสนใจหลายๆ ส่วนเกี่ยวกับวัดนี้เพิ่มเติมให้กับผู้ชมด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของการมีรูปปั้นผู้เฝ้าประตูนันไดมง (Nandaimon) หรือประตูฝั่งใต้ อยู่สองตนทั้งด้านซ้ายและด้านขวา สูงกว่า 8 เมตร เกิดจากความเชื่อที่ว่าผู้เฝ้าประตูทั้งสองจะขจัดสิ่งชั่วร้ายออกจากตัวเราก่อนที่เราจะเข้าไปในพื้นที่วัด หรือแม้กระทั่งเรื่องราวเกี่ยวกับกวาง ที่มาอาศัยอยู่ในบริเวณวัดจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครว่าหรือใครทำร้ายพวกมัน เพราะวัดโทไดจินั้นเป็นวัดพุทธนิกาย Kegon และในความเชื่ออย่างหนึ่งของนิกายนี้ ถือว่ากวางเป็นสัตว์สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของศาสนาพุทธนั่นเอง (ในขณะที่ทางชินโต จะเชื่อว่ากวางเป็นผู้นำสารจากเทพเจ้ามาให้มนุษย์) พวกคุณกวางเหล่านี้จึงอยู่ที่นี่กันได้อย่างสุขสบาย มีของว่างในกินจากมือของนักท่องเที่ยว แถมมีคนของเก็บกวาดอุนจิให้อีก สบายซะจริงๆ
มีเรื่องร่ำลือกันด้วยว่า วัดโทไดจิที่สร้างขึ้นเมื่อราว 1,300 ปีก่อนจนใหญ่โตอลังการงานสร้างแห่งนี้ ต้องใช้แรงงานกว่า 2,600,000 คน (จำนวนนี้ก็ราวๆ ครึ่งหนึ่งของชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นเลยทีเดียว จึงคาดว่าตัวเลขน่าจะเว่อร์ไปหน่อย ฮะ ฮะ)
พอเข้าไปด้านในวิหาร ปกติเราก็มักจะเดินไปขอพรองค์พระใหญ่ไดบุทสึสำริดที่สูงถึง 16 เมตร แล้วก็เดินเวียนตามเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ รอบๆ องค์พระ … กราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม ชมโมเดลจำลองของวัด ดูนั่น ดูนี่กันไป
แต่เชื่อว่าเพื่อนๆ ต้องสะดุดตากับเสาไม้ที่มีรูสี่เหลี่ยมขนาดพอประมาณอยู่ด้านล่างกันเป็นแน่ รูที่เสาไม้แห่งนี้เชื่อว่าเชื่อมกับรูพระนาสิก (รูจมูก) ขององค์พระใหญ่ไดบุทสึ ชาวญี่ปุ่นที่มาเยือนวัดแห่งนี้จึงมักจะมารอดรูนี้กัน โดยเชื่อว่า… ถ้าขอพรแล้วลอดผ่านไปได้ พรที่ขอก็จะสัมฤทธิ์ผล ถ้าเพื่อนๆ มาที่นี่ในช่วงฤดูทัศนศึกษาล่ะก็ จะเห็นเด็กๆ ต่อแถวกันยาวเหยียดทีเดียว เพราะเด็กๆ สามารถลอดผ่านกันได้ไม่ยากเย็นเท่าไรนัก แต่นักท่องเที่ยว (ผู้ใหญ่) ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกล้าลองกัน โดยเฉพาะคนไทย เพราะคิดว่ารูมันเล็กกว่าตัว ไม่น่ารอด! นั่นเอง 5555555
แต่งานนี้คุณติ๊กจัดให้!! มองดูด้วยตา ดูยังงั้ย ยังไง คุณติ๊กก็ไม่น่า… ^^”
พอได้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น … สำเร็จ!!
และที่สำคัญ พี่ตากล้อง! ตัวใหญ่กว่าคุณติ๊กตั้งเยอะ ผ่านเฉย!! (><)
…นิทานเรื่องนี้ เอ้ย! จากการทดลองนี้ เพื่อนๆ ที่รูปร่างไม่ถึงกับ “อ้วนเกินไป” ลองเหอะ เผื่อจะโชคดีกันจ้า
หลังจากไปขอพร ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากเสาไม้ต้นนั้นกันมาแล้ว เราก็จะเดินวนมาถึงประตูทางเข้า-ออกอีกครั้ง แต่ก่อนหน้านั้นจะมีร้านจำหน่ายเครื่องราง และของที่ระลึกประจำวัดแห่งนี้หลายสิ่งอยู่ แล้วคุณติ๊กก็ได้จัด “สมุดสะสมบุญ” มาหนึ่งเล่ม (1,100 เยน) ตอนนี้กำลังฮิตกันมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่ศรัทธาในวัดพุทธ เพราะเมื่อเราไปเยือนวัดไหน เราก็ขอให้ทางวัดลงนาม พร้อมประทับตราไว้ด้วยได้ อีกหนึ่งกิจกรรมเท่ๆ ของชาวญี่ปุ่นเขาล่ะ นักท่องเที่ยวคนไหนอยากลองสะสมดูบ้าง ก็ไปจัดกันไว้สักเล่มนะ เจ๋งดี (เสียดาย… น่าจะเอามาใช้ที่เมืองไทยได้ด้วย ไหว้พระ 9 วัดสักปีละ 2 – 3 ครั้ง สมุดเราก็จะเป็นเหมือนบันทึกการเดินทางเข้าวัดกันเลยทีเดียว หุ หุ)
จากนารา เราก็ออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดมิเอะ (Mie Prefecture) เพื่อไปติดตามดูเรื่องราวเกี่ยวกับนินจากันค่ะ เพราะที่จังหวัดมิเอะนั้น มีเมืองชื่ออิงะ (Iga) เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านนินจามาตั้งแต่ครั้งอดีตไงล่ะคะ
ใครชอบอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นก็ต้องมีคุ้นๆ กันบ้างล่ะ นินจาโคงะ (จังหวัด Shiga) กับนินจาอิงะ (จังหวัด Mie) นินจาสองกลุ่มดังในแถบคันไซนี้ มักจะไฝ้กันประจำ โดยนินจาอิงะที่เราไปเยี่ยมเยือนในวันนี้เรียกกลุ่มของตนเองว่าอะชุร่า (Ashura) ที่หมายถึง “เทพแห่งสงคราม” ค่ะ ^^
เมื่อมาถึงเมืองนินจาทั้งที คุณติ๊กก็แปลงร่างเป็นคุโนอิจิ (Kunoichi) หรือนินจาผู้หญิงในชุดสีแดงแรงฤทธิ์ทีเดียวค่ะ วันนี้ลมหนาว พัดแรงสุดๆ เหมาะกับการฝึกการเป็นนินจาซะจริงๆ ฮะ ฮะ
ที่หมู่บ้านนินจาอิงะนี้ ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนให้มีรูปแบบเป็นพิพิธภัณฑ์ (Ninja Museum of Igaryu) เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีนินจาด้วย ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับปราสาทอุเอโนะที่ขึ้นชื่อในเรื่องกำแพงปราสาทที่สูงอลังฯ มาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ บรรยากาศดีเว่อร์ๆ ค่ะ ถ้ามาพิพิธภัณฑ์นินจาอิงะก็เดินไปเที่ยวปราสาทอุเอโนะได้ในคราวเดียวเลยล่ะ
เดินทางไปกันอีกสักจังหวัดล่ะกันน่ะ … ไปต่อกันที่คาบสมุทรคิอิ (Kii Peninsular) จังหวัดวาคายะมะ (Wakayama Prefecture) ทางใต้สุดของภูมิภาคคันไซ ที่นี่เป็นเมืองชายทะเลค่ะ เราไปดูสถาบันวิจัยการเพาะพันธุ์ปลาทะเลแห่งมหาวิทยาลัยคิงคิ ที่มีอยู่หลายศูนย์มาก ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมทางทะเลที่เหมาะกับสิ่งที่เขากำลังวิจัยกันอยู่นั่นเอง
แต่สิ่งที่เราจะไปดูกันในวันนี้ นั่นก็คือ… ปลาคุเอะ (Kue) ปลาที่มีราคาค่อนข้างแพงอยู่สักหน่อย ทางมหาวิทยาลัยคิงคิจึงกำลังศึกษาวิธีการเลี้ยงเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาหายาก (รวมถึงปลาคุเอะด้วย) เพื่อนำไปจำหน่าย ทั้งนี้ก็จะได้เป็นการลดการจับปลาคุเอะจากทะเลธรรมชาติ จนทำให้มัน..หายากมากขึ้นไปอีก แถมยังได้ปลาดีมีคุณภาพ ที่จำหน่ายได้ในราคาไม่สูงเกินไปอีกด้วยนะ
ปลาคุเอะนั้น ก็เป็นปลาเก๋าชนิดหนึ่ง (The Longtooth Grouper) ที่อาศัยอยู่ในน้ำค่อนข้างอุ่น คนญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยบริโภคกันเท่าไรนัก เนื้อมันอร่อย มีสารอาหารเยอะ แถมยังเพิ่มคอลาเจนให้กับผิวอีกด้วย แต่มีราคาแพง เพราะว่าหายากในญี่ปุ่น ศูนย์วิจัยนี้ทำให้คนญี่ปุ่นเริ่มกินปลาคุเอะกันมากขึ้น เพราะหาได้ง่ายขึ้น ในราคาที่ถูกลง และเชื่อหรือไม่ว่าศูนย์วิจัยแห่งนี้ เริ่มเพาะพันธุ์ปลาคุเอะมาแล้วถึง 40 ปี แต่เพิ่งจะได้เห็นผลเมื่อ 20 ปีที่แล้วนี่เอง พอรู้อย่างนี้ … ก็เริ่มสงสัยว่าสัตว์ทะเลใกล้สูญพันธุ์ที่บ้านเรานั้น จะยังคงมีอยู่ในธรรมชาติให้เราจับกินกันถึงเมื่อไร แล้วมีใครเริ่มเพาะพันธุ์เจ้าของอร่อยๆ พวกนี้กันไว้บ้างหรือยังน๊าาาาาา เพราะมันน่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย คุณปูม้า ปูทะเล กุ้งมังกรเจ็ดสี บลา บลา บลา … อยู่ด้วยกันนานๆ น๊าาาาา
หลังจากที่ได้พูดคุยเก็บข้อมูลจากทางสถาบันวิจัยฯ ถึงความเป็นมา วิธีการเลี้ยง และความยากลำบากกว่าจะเพาะพันธุ์ปลาคุเอะ แล้วนำออกสู่ตลาดได้แล้วนั้น เราก็ไปลองชิมเนื้อปลาเก๋าญี่ปุ่น…ปลาคุเอะ กันที่ร้านคุเอะเต (Kuetei) ร้านนี้มีเมนูหลักเป็นปลาคุเอะ ที่ไม่ต้องไปจับมาจากธรรมชาติ เขารับปลาคุเอะคุณภาพเยี่ยมมาจากสถาบันวิจัยฯ ของมหาวิทยาลัยคิงคินั่นเอง
จัดกันไปหนึ่งเซ็ตใหญ่ กับสารพัดเมนูปลาคุเอะ ทั้งซาซิมิเนื้อนุ่มไม่คาว หม้อไฟซุปหวานหอมจากปลาคุเอะ รวมไปถึงข้าวอบปลาคุเอะ ขอบอกเลยว่า…เนื้อแน่น แต่นุ่ม เคี้ยวหนึบหนับ ที่ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับราคาเพียง 5,000 เยน!!! ของเขาสด คุณภาพดี มีให้กินทุกวัน (เพราะเพาะพันธุ์ได้) และราคาก็ไม่แพงอีกตังหาก นี่เองประโยชน์ดีๆ ของการวิจัย
เป็นอย่างไรบ้างค่ะ ได้ทั้งเที่ยว เรียนรู้วัฒนธรรม แถมยังปิดท้ายด้วยของกินหายาก แสนอร่อย ในตอนต่อไป คุณติ๊กจะพาไปกินของอร่อย หรือทำอะไรสนุกๆ กันต่อในภูมิภาคคันไซของประเทศญี่ปุ่น … ก็อย่าพลาด ติดตามชมกันนะจ้ะ 😉
ติดตามรายการผจญภัยไร้พรมแดนได้ทาง ททบ. 5
ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.20 น.
หรือติดตามความเคลื่อนไหวของทางรายการได้ทาง…
เฟซบุ๊ค แฟนเพจ:-ผจญภัยไร้พรมแดน
เว็บไซต์:-www.panorama-discovery.com
ยูทูป:-http://www.youtube.com/channel/UCaRoqlkjKQpiv9g1SxT0n4Q