คำแนะนำจากชาวญี่ปุ่น … ทำอย่างไรล่ะให้การทำงานกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่การทำงาน มีความสุขกับการทำงานมากขึ้น และรักงานมากขึ้นจนเรารู้สึกว่ามาช่วยกันผลักดันบริษัทขึ้นไป ไม่ใช่การมาทำงาน เพื่อมารับเงิน เช้ามาเย็นกลับ แยกย้ายกันไป
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมกับสนพ.ญี่ปุ่นและได้พูดถึงหนังสือที่น่าสนใจในช่วงนี้ครับ ตอนนี้ในญี่ปุ่นหนังสือที่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งก็คือหนังสือที่เกี่ยวกับการทำงานของคนที่จบใหม่ หรือการทำงานของคนที่ทำงานมานานแล้ว
อย่างที่เราทราบกันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใครทำงานแล้วก็มักจะอยู่ทำงานที่นั่นไปเป็นเวลานานๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนงานกันเท่าไหร่ แต่ปัจจุบันค่านิยมหลายๆ อย่างในประเทศเริ่มเปลี่ยนไป มีคนเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับการทำงานและกำลังฝืนทนอยู่เยอะขึ้น ขณะที่บางคนก็ตั้งคำถามว่าทำไมตนเองจึงไม่พัฒนาไปอย่างที่คาดหวัง ในจุดนี้หนังสือที่ให้คำแนะนำหรืออธิบายประเด็นต่างๆ ตลอดจนมีคำแนะนำจากผู้ที่ประสบเหตุการณ์เหล่านี้จริง จึงขายดีขึ้นมากๆ
และในโอกาสนี้ผมจึงอยากนำคำแนะนำต่างๆ ที่ได้รับจากหนังสือขายดี ณ ปัจจุบัน มาถ่ายทอดให้แฟนมารุมุระได้อ่านกันครับ
อย่างแรกเป็นคำแนะนำจากทางอ.โนโบรุ โคะยามะ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจและเป็นอ.ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้พูดสิ่งที่สำคัญต่อคนวัยทำงานในปัจจุบันไว้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. ลงมือทำก่อนแล้วค่อยคิด : เขามองว่าปัจจุบันนั้นคนเราคิดถึงเหตุและผลมากจนเกินไป ทั้งๆ ที่หากมองถึงความเป็นจริงแล้ว การตัดสินใจครั้งแรกจริงๆ มันผ่านจากจิตใต้สำนึกของเราที่ตัดสินใจออกมา แต่บางทีพอมาผ่านความคิด ฯลฯ ทั้งจากตนเอง และบางทีจากคำแนะนำของคนอื่นมากจนเกินไป เรามักจะไขว้เขว โดยเฉพาะคนเก่งที่ไม่มั่นใจในตนเอง ที่แทบจะใช้งานอะไรไม่ได้เลยหากเขาถูกความคิดคนอื่นจูงไปอยู่เสมอ ดังนั้นหากมีโอกาสได้ทำ ก็ควรจะเลือกทำมันเลยก่อนที่จะเสียโอกาสนั้นไป
2. คนที่ตำแหน่งสูงขึ้น คือคนที่ไม่อยากไปทำงาน! : ในที่นี้เขาหมายถึงว่า ทำอย่างไรล่ะให้การทำงานกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่การทำงาน อย่างแรกเลยคือเราต้องรู้จักแบ่งงานในองค์กร ทำหน้าที่ของเรา และกระตุ้นให้คนรอบข้างเราทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่เช่นกัน จากนั้นเมื่อภาพรวม บริบทต่างๆ มันดีแล้ว เราก็จะรู้สึกว่าการทำงานมันง่ายขึ้น มีความสุขกับการทำงานมากขึ้น และรักงานมากขึ้นจนเรารู้สึกว่ามาช่วยกันผลักดันบริษัทขึ้นไป ไม่ใช่การมาทำงาน เพื่อมารับเงิน เช้ามาเย็นกลับ แยกย้ายกันไป เป็นต้น หากเรามาถึงจุดนี้ได้โอกาสในการเติบโตก็ง่ายขึ้นครับ นั่นเพราะเรามีความเข้าใจในบริบทของบริษัทนั้นอย่างดีเยี่ยมแล้ว
3. “การลงมือทำทันที จะทำให้คุณได้เครดิทมากขึ้น” : นี่คือปัญหาสำคัญของปัจจุบันเลยนะครับ กล่าวคือคนในสังคมบางที ตอนที่ไม่มีใครสั่งงานก็ดูเหมือนมั่นใจตัวเองมาก แต่พอได้รับมอบหมายงานปุ๊บ เขากลับไม่มั่นใจตัวเองขึ้นมาซะเฉยๆ (อ้าว!?) อันนี้คนญี่ปุ่นหลายๆ คนมองว่าการที่มีคนมอบหมายให้คุณทำ นั่นคือเขาไม่ได้มอบแค่งาน แต่เขา “มอบความเชื่อมั่น” ให้กับคุณด้วย ดังนั้นเราจะเลือกที่จะทำมันทันที ตอบรับความมั่นใจนั้นด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ หรือสงสัยตัวเอง และสงสัยผู้ที่มอบหมายงานกับเรา? เราต้องสร้างความมั่นใจให้ตนเองตรงส่วนนี้ครับ จากนั้นเราจะเติบโตในบริษัทได้อีกอย่างแน่นอน
4. ไม่มีความพยายามใดที่ไม่ได้รับผลตอบแทน : แน่นอนครับว่าสังคมจริงๆ บางทีเราก็รู้สึกว่ามีคนได้รับในสิ่งที่เขาไม่ควรได้อยู่เต็มไปหมด และความพยายามในบางครั้งของเราก็ดูไร้ค่า ไร้ผลตอบแทนซะเหลือเกิน แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เรามักจะลืมไปก็คือ “ทุกความพยายาม ล้วนทำให้เราเติบโต” บางทีเราอาจไม่สามารถเติบโตแบบเส้นตรง แต่อย่าลืมว่าการเดินบนทางที่ขรุขระ อ้อมบ้าง อะไรบ้าง ก็จะทำให้เราได้เห็นโลกมากกว่าใคร มีประสบการณ์มากกว่าใคร เราต้อง take credit สิ่งเหล่านี้ให้เป็น หัดสร้างกำลังใจให้ตัวเอง มองเห็นความงามของทุกโอกาส แม้กระทั่งวันที่เราโดนหักหลังหรือโดนข้ามหน้าข้ามตา สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหยัดยืนขึ้นไปด้วยความแข็งแกร่งครับ
5. พูดขอบคุณให้เป็น : “การขอบคุณไม่ได้ใช้เฉพาะสถานการณ์ที่คุณคิดว่าต้องขอบคุณ” เพราะบางทีอีกคนก็คาดหวังให้คุณขอบคุณ (ในเรื่องที่ตามแต่เขาจะคิดนั่นแหละ) ดังนั้นเพื่อให้ดูเป็นคนอ่อมน้อมถ่อมตน เราขอบคุณคนให้เป็นนิสัย รู้สึกขอบคุณเสมอกับสิ่งที่เราได้รับ ในสิ่งที่แต่ละคนมอบให้ อย่ามองว่าอันไหนมันเล็ก หรือปกติธรรมดา เพราะบางทีสิ่งเล็กๆ ที่เราได้รับมา อาจจะเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาก็ได้ คำขอบคุณเป็นสิ่งที่เราจะตอบแทนกลับไปได้อย่างตรึงใจและราคาถูกที่สุดแล้วครับ ทำให้เป็นนิสัย และภาพลักษณ์ของเราจะดีขึ้น
ทีนี้หากเราพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่รู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆ ล่ะ จะทำยังไง?
อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้นว่าคนญี่ปุ่นหลายๆ ราย ยังมีค่านิยมที่ไม่อยากย้ายงาน และรู้สึกว่าการย้ายงานเป็นเรื่องลำบากใจ เพราะเขาจะต้องเริ่มต้นใหม่ กับอนาคตที่ดูเหมือนจะไม่มั่นคงเอาซะเลย ในที่นี้มีคำแนะนำจากคุณ “ทาคาโกะ โยโกะยามะ” นักธุรกิจสาวที่เปลี่ยนงานมาแล้ว 9 ครั้ง ในช่วงที่เธออายุ 20 กว่าๆ !!!!! ถือว่าเยอะมากนะครับ แต่เหตุผลของเธอก็คือ เธอแค่รู้สึกไม่สบายใจ และไม่อยากทำต่อ เธอรู้สึกว่าไม่อยากฝืนทนอะไรกับสิ่งที่เธอผิดหวัง
คุณทาคาโกะเริ่มต้นจากการทำงานออฟฟิศเหมือนหนุ่มสาวทั่วไป จนกระทั่งรู้สึกว่าไม่สนุกกับงาน เธอก็ลาออกไปดื้อๆ และไปลงทุนทำร้านอาหารของตนเอง ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 5 ล้านเยน ! แต่แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม คือเธอรู้สึกว่าตนเองไม่ลงรอยกับเชฟ และเบื่อธุรกิจนี้ไปโดยปริยาย ดังนั้นเธอก็เลยเลิกทำมันซะอย่างนั้นและก็มานับหนึ่งใหม่ ด้วยแนวคิดว่า “การเปลี่ยนงานไม่บาป!!!”
จนสุดท้ายเธอก็มาประสบความสำเร็จกับธุรกิจร้านอาหารชื่อ Genghis Khan Cuisine โดยขายอาหารประเภทคอลลาเจน (เอามาผสมกับอาหารต่างๆ) โดยเธอทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “การหนีออกมาจากสิ่งที่ไม่มีความสุข ไม่ใช่ความผิดบาป แต่เป็นการปลอบประโลมตัวเอง เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นมา และเพื่อให้พบงานที่เหมาะกับเราจริงๆในโอกาสต่อไป”
จริงๆ แล้วการทำงาน สิ่งสำคัญอยู่ที่ความตั้งใจครับ แน่นอนว่าทุกคนมีความต้องการเป็นของตนเอง แต่หากเรามองดูความเป็นจริงแล้ว คนที่ได้เริ่มทำงานตามความฝัน และอยู่กับมันจนวันตายนั้น มีเป็นส่วนน้อยเหลือเกิน ดังนั้นทุกอย่างที่เป็นโอกาสเข้ามาหาเรา เราต้องมองว่ามันคือโรงเรียนขนาดย่อยๆ ที่จะสั่งสอนเราให้พร้อมต่ออนาคต และที่สำคัญให้เราพร้อมต่อการเดินตามฝันจริงๆ เมื่อเวลามาถึงการทำงานก็เปรียบเสมือนการวางรากฐานให้กับความฝันตนเอง ดังนั้นเราควรจริงจังกับการทำงานทำมันให้เต็มที่ และเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า หรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
เรื่องแนะนำ :
– ช่วงเวลาที่ยากลำบากของวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น
– ตำนาน HAYABUSA นักมวยปล้ำที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก
– TOKYO JOSHI ค่ายมวยปล้ำหญิงที่มาแรงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น
– ฟุกุอิเมืองที่ทำให้ความสุขเบ่งบาน
– Eihei-ji วัดในตำนานที่ชีวิตนี้ต้องไปเยือนสักครั้ง
#คำแนะนำจากชาวญี่ปุ่น