กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง คนญี่ปุ่นเรียนหนังสือกันเยอะกันหนัก ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ยังต้องมาเรียนหนังสือก็มี การเรียนหนัก การแข่งขันกัน ทางกระทรวงศึกษาญี่ปุ่นมองว่าก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ อย่างเช่น
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
“ไอ้เด็กญี่ปุ่นสมัยนี้มันไม่ได้เรื่อง เราต้องเพิ่มการเรียนการสอนให้เข้มข้นขึ้น” คนญี่ปุ่นที่เกิดก่อนปี 1986 ได้บอกไว้
เด็กญี่ปุ่นสมัยนี้ที่ “ไม่ได้เรื่อง” (จากความคิดเห็นของคนรุ่นก่อนหน้านี้) หมายถึงเด็กที่เกิดช่วงปี 1986 – 1995 ขอย้ำว่าเป็น “ความเห็น” ของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น
++++
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง คนญี่ปุ่นเรียนหนังสือกันเยอะกันหนัก ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ยังต้องมาเรียนหนังสือก็มี การเรียนหนัก การแข่งขันกัน ทางกระทรวงศึกษาญี่ปุ่นมองว่าก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ อย่างเช่น
“การกลั่นแกล้งกัน”
“เด็กไม่มาโรงเรียน”
“การเสียดสีมองว่าเด็กบางคนเป็นไอ้ขี้แพ้” (ทางด้านการเรียน/กีฬา/กิจกรรม)
ในปี 1970 ทางกระทรวงศึกษาญี่ปุ่นมีความคิดว่า
“ลดเวลาการเรียนการสอนลง”
“ให้เด็กได้หยุดเรียนทั้งเสาร์อาทิตย์สองวัน”
“ลดการแข่งขันกัน”
“เน้นการศึกษาที่พัฒนากระบวนการความคิด”
ซึ่งแนวทางการศึกษาในลักษณะแบบนี้ คนญี่ปุ่นเรียกเป็นชื่อเล่นกันว่า “ยุโตะริ เคียวอิคุ” (ゆとり教育)
“ยุโตะริ” ที่ว่านี้ คือความรู้สึกผ่อนคลายสบาย ๆ เรื่อย ๆ ครับ หรือที่เขาเรียกกันว่าได้มีเวลาหายใจหายคอกันบ้าง
ภาษาอังกฤษใช้คำนี้ว่า Slack
เด็กที่ได้รับการศึกษาแบบ “สบาย ๆ” นี้ได้ชื่อว่า “ยุโตะริ เซะได” (ゆとり世代)
世代 [เซะได] นี้แปลว่า ยุค รุ่น หรือ Generation
“ยุโตะริ เซะได” คือรุ่นที่ได้รับการศึกษาแบบสบาย ๆ
ความเปลี่ยนแปลงของการศึกษาแบบ “สบาย ๆ” นี้เป็นอย่างไรกัน จำนวนชั่วโมงการเรียนการสอนของเด็ก ประถมถึงมัธยมต้นต่อปีของญี่ปุ่นมีความเปลี่ยนแปลงดังนี้
ช่วงสมัยก่อนที่ “อัดความรู้” ให้เด็กเรียนเยอะ ๆ 850 – 1050 ชั่วโมงต่อปี
ช่วงสมัยการเรียนแบบ “สบายๆ” ได้เปลี่ยนชั่วโมงเวลาเรียนมาเป็น 782 – 980 ชั่วโมงต่อปี
เฉลี่ยแล้วจำนวนชั่วโมงการเรียนการสอน ลดลงไปประมาณ 70 ชั่วโมงต่อปี เอาจริง ๆ เวลาการเรียนการสอนลดไปราว ๆ 1.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็สงสัยนิด ๆ ว่าแบบนี้เขาเรียกว่าสบายแล้วหรือ
กลับมาที่ส่วนต่างอีกส่วน นั่นคือลักษณะการเรียนการสอนเน้นให้นักเรียน “ตรวจสอบ ค้นหาข้อมูลความรู้เอง” เน้น ปลูกฝังความสามารถในการ “ดำรงชีวิต” ซึ่งวิธีการจะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้ก็ด้วย “คาบวิชาพิเศษ” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นใช้คำว่า 総合的な学習時間 [โซโกเทะคินะ กะคุชูจิคัน] ซึ่งแปลตรง ๆ ว่า ชั่วโมงการเรียนรู้ “โดยรวม”
สิ่งที่สอนคือสอนให้เด็กเรียนรู้จะอยู่กับสังคมอย่างไร ถ้าจะยกตัวอย่างก็เช่น แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับคนต่างชาติ
ก็ฟังดูดีนะครับ แต่ยิ่งอ่านชื่อวิชาที่ “ดูไม่เฉพาะเจาะจง” นั้นมีความ “ไม่ชัดเจน” กลบซ่อนอยู่ ไว้สักสัปดาห์หน้า(ถ้าไม่ขี้เกียจไปก่อน) ผมจะมาว่าถึงคาบวิชาพิเศษที่ว่านี้คืออะไร
++++
คำวิพากษ์วิจารณ์
เด็กที่เรียนหนังสือจบมาในช่วง “ยุโตะริ” นั้น ถูกมองจากคนญี่ปุ่นในยุคก่อนหน้านั้นว่า “ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง” อย่างเช่นคะแนนเฉลี่ยของคะแนนนั้นลดลง ซึ่งหลายคนโทษกันว่าเป็นเพราะว่าเวลาเรียนที่ลดลง และ “คาบวิชาพิเศษ” นี้หรือเปล่า
“ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง” ที่ว่านี้มันมีอยู่จริงหรือไม่? เป็นคำถามที่ตั้งขึ้นมาโดยนักวิชาการมีการพูดถึงเรื่องนี้ให้เห็นตามหน้าข่าว เพื่อนผมที่วัยราว 30 กว่า (ที่อยู่ในยุคที่ได้รับการศึกษาแบบ “อัดแน่น”) บอกว่าเด็กสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษาแบบ “สบาย ๆ” นั้นแตกต่างจากตัวเขาเองเช่น
– กล้าปฏิเสธการไปกินเลี้ยงกับผู้ใหญ่
แม้ตัวอย่างจะมีเรื่องเดียว แต่เขารู้สึกว่าคนรุ่นใหม่นี้ “บอกไม่ถูก” ยังไงไม่ทราบ
แม้นว่าสัญญาณที่บ่งบอกว่า “การเรียนรู้ลดลง” เป็นอย่างไรไม่แน่ชัด แต่คนรุ่นเก่ามองคนรุ่นใหม่ว่าความคิดไม่เหมือนคนรุ่นเก่า เข้าเมืองตาหลิ่วแต่ไม่หลิ่วตาตาม
แต่สุดท้ายแล้วดูในแง่ผลลัพธ์แล้ว ญี่ปุ่นก็ได้ปรับหลักสูตรการศึกษาโดยเพื่อชั่วโมงกลับมาเท่าระดับสมัยหลักสูตรอัดแน่น และพบว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนดีขึ้นเหมือนเดิม
ความเคลื่อนไหวในตรงนี้ถูกเรียกว่า 脱ゆとり教育 [ดะซึยุโตะริเคียวอิคุ] แปลว่า “สลัดทิ้งการศึกษาแบบสบาย ๆ”
สุดท้ายกลับมาระบบเดิม ไม่รู้ว่าจะเป็นไงต่อ บางคนที่อยู่ในช่วง “ยุโตะริเซะได” ก็ออกมาบอกว่า “พวกข้าเป็นหนูทดลองอย่างงั้นหรือ”
++++
ในบทความนี้ไม่ได้เจาะลึกถึงวิธีการเรียนการสอนแต่ได้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และผลลัพธ์ของมัน กับวิธีการเรียนแบบ “สบาย ๆ”
แม้ปรับหลักสูตรกลับมาเหมือนเดิมก็ยังมีการวิจารณ์ว่าเมื่อวิธีการเรียนการสอน ยังเอาแต่ “อัดความรู้” เข้าไป ญี่ปุ่นจะไหวหรือเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาอื่นๆ
ผมมองญี่ปุ่นการศึกษาแบบ “สบาย ๆ” ก็เป็นเหตุการณ์ในสังคมของญี่ปุ่น แบบที่บ้านเราก็มี สอบ Entrance, O-net สอบเทียบ ญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนแนวทางการศึกษาประเทศไทยก็เช่นกัน ยังไงก็ต้องเปลี่ยนแปลง
ผมรู้สึกว่าเราทุกคนคงอยากเห็นการศึกษาที่ดีขึ้น แต่ไม่แน่ใจว่าเราหวังเด็กรุ่นใหม่ให้มาทำอะไรเพื่อเรา หรือว่าเราหวังดีกับเขาจริง ๆ การศึกษาที่ว่านี้เพื่อตัวเขาจริง ๆ ใช่ไหมครับ
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
ทักทายพูดคุยกับ Wasu ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– นิสสันหั่นพันธมิตร เพื่ออนาคตที่ดีของสองฝ่าย
– ชื่อของเธอคือ? คิมิโนะ “นะ” วะ : กับความหมายแท้จริงของคำว่า “นะ” [名]
– ความรักชาติใน Modern Japan
– ถึงทำงานก็จน working poor
– หัวใจบริการของญี่ปุ่น หรือว่า?