วันนี้จะมาเล่า “ขนบซีรีส์ สูตรสำเร็จละครญี่ปุ่น” ภาคที่ 2 กันต่อค่ะ
วันนี้จะมาเล่า “ขนบซีรีส์ สูตรสำเร็จละครญี่ปุ่น” ภาคที่ 2 กันต่อค่ะ สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านภาคแรก สามารถอ่านได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ >>> https://www.marumura.com/japan-series-i/
คราวที่แล้วได้เบรกภาคแรกไว้ที่ข้อ 10 วันนี้มาดูกันต่อดีกว่าค่ะว่า อีก 10 ข้อที่เหลือจะเป็นอะไรบ้าง มาดูกันเลยยย
11. ตัวละครสมจริง
สำหรับละครญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกนักแสดง และส่วนใหญ่นักแสดงที่ได้รับบทในละครแต่ละเรื่องจะเป็นผู้ที่มีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก ท่าทาง หรือแม้แต่รูปลักษณ์ภายนอก ถ้าในเรื่องบอกไว้ว่าต้องเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิงที่ธรรมดาๆ นักแสดงที่มารับบทก็ต้องธรรมด๊า ธรรมดาด้วยค่ะ เห็นกันชัดๆ ก็คงเรื่องนี้เลยค่ะ “Densha Otoko” เรื่องราวความรัก (ที่เขาว่ากันว่ามีเค้าโครงเรื่องบางส่วนมาจากเรื่องจริง) ระหว่างหญิงสาวหน้าตาดี กับหนุ่มโอโตคุที่ออกแนวหน้าตาธรรมดา เนิร์ดๆ ไม่อินเทรนด์เอาซะเลย
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่หล่อไม่หล่อ แต่มันอยู่ที่…เชื่อแล้วว่าเป็นชายหนุ่มธรรมดาจริงๆ ที่ไม่ควรไปรักกับหญิงสาวที่สวยสง่าขนาดนั้น คนดูเห็นก็จะรู้สึกอินค่ะ และจะรู้สึกว่ามันสมจริง เห็นได้จริงในสังคม และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ “ทำไมพระเอกญี่ปุ่นไม่หล่อ” ก็เพราะเหตุนี้แหล่ะค่ะ แต่พอได้ดูการแสดงของเขา ขอบอกว่าอาจจะต้องตกหลุมรักค่ะ สำหรับเรื่องนี้คนที่เคยดูก็รู้สึกชื่นชอบหนุ่มคนนี้นะคะ ถึงหน้าตาจะธรรมดา แต่ก็มีเสน่ห์ที่ทำให้ต้องหลงรักเลยล่ะค่ะ
12. ตัวละครเอกมักเป็นยอดอัจฉริยะ!
สำหรับละครญี่ปุ่น ตัวละครเอกของเรื่องจะต้องเป็นยอดอัจฉริยะ เก่ง และฉลาด อย่างเช่น
ความอัจฉริยะนี้ก็ถือว่าเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของตัวละครญี่ปุ่นที่เราเห็นกัน อยู่บ่อยๆ เนื่องจากตัวโกงของละครญี่ปุ่นจะเป็นคนที่ฉลาด ตัวละครเอกก็เลยต้องฉลาดมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก เพื่อที่จะต่อกรกับคนเหล่านั้นได้ และความอัจฉริยะนี้ก็เสริมคาแร็คเตอร์ของตัวละครให้ดูเท่ขึ้นมาอีกเท่าตัว!
13. ปัจเจกบุคคล
มาที่ตัวละครกันอีกแล้ว แต่ไม่พูดไม่ได้ค่ะ เพราะถือว่าเป็นลักษณะสำคัญเลย ตัวละครเอกของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีความเป็นปัจเจกบุคคล แปลกแยก มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ชอบคิดต่าง และไม่ทำอะไรเหมือนชอบบ้านชาวช่องเขา อย่างเช่นเธอคนนี้ค่ะ
14. เพลงประกอบละครมักมาจากศิลปินที่ร่วมแสดง
ขนบอีกอย่างหนึ่งในละครญี่ปุ่นก็คือ เรื่องของเพลงประกอบละครค่ะ ที่มักจะขับร้องโดยศิลปินที่แสดงละครเรื่องนั้น ส่วนใหญ่จะเห็นในศิลปินกลุ่มค่ะ ถ้าสมาชิกคนไหนได้รับเล่นละคร ก็พลอยให้วงของตัวเองมีงานเพลงชิ้นใหม่ด้วย ที่เห็นได้ชัดก็ต้องวงนี้เลยค่ะ “Arashi”
เรื่อง “Kazoku Game” นำแสดงโดย “Sakurai Sho” ได้ปล่อยเพลง “Endless Game” ออกมา
เรื่อง “Last Hope” นำแสดงโดย “Aiba Masaki” ได้ปล่อยเพลง “Calling” ออกมา
เรื่อง “Kagi no Kakatta Heya” นำแสดงโดย “Ohno Satashi” ได้ปล่อยเพลง “Face Down” มา
เรื่อง “Shitsuren Chocolatier” นำแสดงโดย “Matsumoto Jun” ปล่อยเพลง “Bittersweet” มา
และล่าสุดเรื่อง “Yowakutemo Katemasu” นำแสดงโดย “Ninomiya Kazunari” ได้ปล่อยเพลง “GUTS” ออกมาด้วยค่ะ
นอกจากจะได้รับชมผลงานการแสดงของศิลปินแล้ว ก็ยังได้ฟังเพลงใหม่ๆ ของพวกเขาไปด้วย เป็นอะไรที่แฟนคลับรู้สึกฟินสุดๆ ไปเลย ! ได้ดูทั้งละคร และฟังเพลงจากศิลปินที่ชอบไปในเวลาเดียวกัน
15. ดนตรีประกอบเพิ่มความอิน
ละครญี่ปุ่นแต่ละเรื่องจะมี Soundtrack ประกอบโดยเฉพาะค่ะ หรือบางคนก็จะเรียกว่า OST จะเป็นดนตรีประกอบที่ไม่มีเสียงขับร้อง ซึ่งเป็นคนละเพลงกับประกอบละครค่ะ มีไว้เปิดในฉากที่สำคัญๆ เพื่อเพิ่มความอินให้คนดู
เพลง Soundtrack ที่อยากยกให้เป็นตัวอย่าง ก็คือเรื่อง “Liar Game” ค่ะ เพราะว่าเป็นละครที่มี Soundtrack เยอะมากๆ จะเป็นเสียงที่มักจะเปิดขึ้นเวลาพระเอกจะโชว์เหนือ (และจะมาพร้อมกับการซูมหน้า)
ซึ่งเจ้าของผลงานเสียง Soundtrack ประจำเรื่อง “Liar Game” ก็คือ “Yasutaka Nakata” หรือเจ้าพ่อแห่งวงการเพลง electronica หรือ electro-pop ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ โปรดิวเซอร์นักร้องชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง “Kyary Pamyu Pamyu” และศิลปินกลุ่มหญิง “PERFUME” นอกจากนี้เขายังมีวงของตัวเองด้วย ชื่อวงว่า “Capsule” ค่ะ
16. เนื้อเรื่องเน้นการทำงานเป็น “ทีม”
ละครญี่ปุ่นหลายเรื่องมีเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานกันเป็นทีม ความสำเร็จที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่แค่ใครคนเดียว แต่เป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือของทุกคน
มักพบเห็นอย่างแพร่หลายในละครแนวอาชีพ นำเสนอการทำงานที่เป็นทีม มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน และความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน ออกแนวประมาณคำคมในโฆษณาสิงห์คอร์ปอเรชั่นที่เคยกล่าวไว้ว่า “พรสวรรค์อาจทำให้คุณชนะ แต่ทีมเวิร์คจะทำให้คุณเป็นแชมป์ !”
17. พล็อต “แพ้ไปก่อน”
พล็อตเด่นอีกอย่างหนึ่งของละครญี่ปุ่นคือ ทำให้ตัวละคร “แพ้ไปก่อน” ค่ะ หรือไม่ก็พลาดท่าให้กับตัวร้าย เป็นคนที่ทำอะไรไม่สำเร็จในตอนแรก ดูแล้วเหมือนกับว่าต้องแพ้แน่ๆ เลย ถ้าเป็นละครสืบสวนสอบสวน ก็จะไขคดีผิด ไม่มีหลักฐานที่จะจับคนร้ายได้ แต่พอหลังๆ บทก็จะพลิกกลับให้ตัวละครนั้นได้รับชัยชนะ และประสบความสำเร็จค่ะ อย่างเช่น เรื่อง “Hanzawa Naoki” ที่ตอนแรก Hanzawa ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนปล่อยสินเชื่อจำนวน 500 ล้านเยนไป ถูกคนในธนาคารกลั่นแกล้ง ขัดขวางต่างๆ นานา แต่ผลสุดท้ายเป็นยังไงล่ะคะ “ได้เอาคืนเป็น 2 เท่า” เลยทีเดียว พล็อตแนวนี้จะทำให้คนดูรู้สึก ฮึด และอยากต่อสู้กับชีวิตต่อไป
18. ถ้าเศร้าต้องกินข้าวเคล้าน้ำตา
มาที่ฉากเศร้ากันบ้าง เวลาเศร้าๆ หรือผิดหวัง ถ้าเป็นละครไทย ตัวละครก็จะชอบออกไปยืนกลางสายฝน ร้องไห้แข่งกับฝนไปเลย หรือไม่ก็เปิดฝักบัวอาบน้ำ แต่ถ้าเป็นละครญี่ปุ่น เขาจะกินข้าวกันค่ะ
ตอนแรกดูมีความสุข ไม่เห็นจะเศร้าเลยใช่ไหมคะ แต่ขอบอกว่าฉากแบบนี้มันเรียกน้ำตาสุดๆ ลักษณะของฉากนี้ก็จะเป็นฉากที่ตัวละครไปเจอกับเรื่องไม่ดีมา แล้วก็จะมากินข้าว พอนั่งกินไป น้ำตาก็จะไหลออกมา ร้องไห้ไป กินข้าวไป
บางเรื่องก็จะพูดว่าออกมาว่าอาหาร “อร่อย” ทั้งน้ำตา บางเรื่องก็จะไม่บ่นว่าอร่อย แต่จะระบายความในใจของตัวเองออกมา ว่าแต่…ทำไมเศร้าแล้วต้องกินข้าวกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่า “ถ้าไม่เคยกินข้าวเคล้าน้ำตา ก็คงไม่รู้รสชาติของชีวิต” เหมือนดังที่ละครญี่ปุ่นเรื่อง “สูตรรักข้าวห่อไข่” ได้เคยกล่าวเอาไว้ รสชาติจริงๆ อาจจะไม่ใช่อาหารหรอกค่ะ แต่เป็นรสชาติของชีวิตมากกว่า
19. ดำเนินเรื่องรวดเร็ว
ละครญี่ปุ่นทุกเรื่องต้องดำเนินเรื่องแบบรวดเร็วค่ะ เนื่องจากในแต่ละตอนมีเวลา 46 นาที เนื้อเรื่องต้องดำเนินไปอย่างกระชับฉับไว จะเร็วขนาดไหนมาดูที่เรื่องนี้ค่ะ “Shitsuren no Chocolatier” เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน 20 นาทีแรกของเรื่องนี้ก็คือ…
พระเอกหลงรักนางเอก คบกับนางเอก ต่อมาถูกนางเอกบอกเลิก ก็เลยตัดสินใจจะไปฝึกทำช็อคโกแลตให้เก่ง เพราะนางเอกชอบกินช็อคโกแล็ต พอคิดได้ปุ๊บก็บินไปเรียนทำช็อคโกแลตที่ปารีสปั๊บ ได้เพื่อนสนิท 1 คน แล้วบินกลับมาญี่ปุ่น เปิดร้านช็อคโกแลต เป็นเจ้าของร้าน เป็นที่รู้จักไปทั่วญี่ปุ่น ถือว่าเป็นความสำเร็จที่รวดเร็วทันใจมากค่ะ พอเห็นอย่างนี้รับประกันได้อีกอย่างหนึ่งค่ะว่า ละครญี่ปุ่นไม่มียืดเรื่องอย่างแน่นอน!
20. ต้องมีคำคม
ละครญี่ปุ่นส่วนใหญ่ พอดูแล้วจะได้แรงบันดาลใจในชีวิตค่ะ นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าสนใจแล้ว ละครญี่ปุ่นยังสอดแทรก “คำคม” ดีๆ มากมาย ถึงแม้ว่าละครญี่ปุ่นบางเรื่องหลายคนจะมองว่ามีเนื้อหาที่เครียดไปสักหน่อย แต่ถ้าดูจบแล้วเนี่ย รับรองเลยว่าจะมีพลังชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ การได้ดูละครญี่ปุ่นเหมือนกับเป็นการชาร์ตไฟให้กับชีวิตตัวเราเอง ลองมาอ่านตัวอย่างคำคมจากละครบางเรื่องกันดีกว่าค่ะ
จบแล้วค่ะสำหรับขนบละครญี่ปุ่น จริงๆ แล้วละครญี่ปุ่นมีหลากหลายแนวมากๆ เลยค่ะ เป็นเรื่องยากมากในการจับหาประเด็น หรือลักษณะเด่นๆ ที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในละครญี่ปุ่น พอเปลี่ยนยุค เปลี่ยนสมัย วงการละครญี่ปุ่นก็จะเปลี่ยน พลิกแพลงไปเรื่อยๆ ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ต่อให้มีการเปลี่ยนแปลง ก็ยังคงเอกลักษณ์อะไรบางอย่างไว้อยู่ ที่ทำให้เรารู้เลยว่า…