ผู้เขียนเชื่อว่าคนไทย 99.99% ไม่เคยคิดหรือไม่เคยรู้สึกอิจฉาหรือรู้สึกอะไรเลย เกี่ยวกับข่าวที่คนเจแปนรับรางวัล Nobel อาจจะรู้สึกภาคภูมิใจในฐานะชาวเอเซียด้วยซ้ำ แต่คนเกาหลีไม่คิดแบบนั้น พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสรางวัลโนเบลเลย
ถามจริง ๆ เราเคยหมั่นไส้วงการการศึกษา วงการวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นไหม?
ในเดือนตุลาคมของแทบทุกปี ประเทศญี่ปุ่นจะมีข่าวเกี่ยวกับรางวัลโนเบล รางวัลที่สำหรับคนสามัญชนทั่วไป เข้าใจว่าคือรางวัลเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักวิทยาศาสตร์ของดาวเคราะห์นี้ ซึ่งก็คงจริง… และถึงวันนี้คนญี่ปุ่นก็กวาดรางวัลนี้ไปแล้ว ถึง 25 คนแล้ว… ซึ่งมันคงไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไม่นับประเทศข้างบ้านคู่แข่งตลอดกาลของญี่ปุ่นเขา… ประเทศเกาหลี
ผู้เขียนเชื่อว่าคนไทย 99.99% ไม่เคยคิดหรือไม่เคยรู้สึกอิจฉาหรือรู้สึกอะไรเลย เกี่ยวกับข่าวที่คนเจแปนรับรางวัลโนเบล อาจจะรู้สึกภาคภูมิใจในฐานะชาวเอเซียด้วยซ้ำ …
แต่คนเกาหลีไม่คิดแบบนั้น พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสรางวัลโนเบลเลย
(ถ้าไม่นับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพที่คุณ คิมเดจุนเคยได้ในปี 2000 ซึ่งพวกเราทุกคนก็รู้ว่ารางวัลโนเบลสาขานี้ ไม่ใช่เรื่องความสามารถหรือเทคโนโลยี… แต่เป็นเรื่องทางการเมือง)
ยิ่งช่วงสี่ห้าปีให้หลังผ่านมา ประเทศเกาหลีเจริญแบบติดจรวด รวมถึงเหล่าเยาวชนนักเรียนชาวเกาหลี ที่ผลงานในเวทีวิทยาศาสตร์โอลิมปิคก็ไม่พ่ายแพ้ ไม่สิดีกว่าประเทศญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป ตอนนี้เหมือนพวกนักเลงคีย์บอร์ด หรือเว็บไซต์หลาย ๆ ที่ในประเทศเกาหลี เลยโวยวายพูดถึงเรื่องนี้มากมาย
ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา… ไม่ใช่เพราะผมอิจฉาระบบการศึกษาหรือความสำเร็จของประเทศญี่ปุ่นหรอก… แต่มันทำให้เราคิดว่า… อะไรกันนะที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จกว่าจีน เกาหลี หรือแม้แต่ประเทศไทยของเรา!? เพราะหากหันไปดูถึงระบบการศึกษา ความเข้มข้นแล้วล่ะก็… ประเทศเกาหลีรวมถึงจีน เข้มข้นและโหดร้ายกว่าญี่ปุ่นด้วยซ้ำ…
เหล่านักวิชาการที่ (ดูเหมือน) เชี่ยวชาญเรื่องนี้ บอกว่าประเทศญี่ปุ่น ให้ความสำคัญกับข่าวสารข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ระดับโลกมาก… เขาจะมีแปลผลงานและ Know how ของเรื่องเหล่านี้เป็นภาษาญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดการตื่นตัวกับคนทุกเพศทุกวัย… และที่สำคัญเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลเหล่านี้ล้วนยังเป็นตำนานที่มีชีวิตของนักศึกษาชาวญี่ปุ่น… พวกเขายังมีโอกาสได้กินราเมง หรือถ่ายรูปกับนักศึกษา มันทำให้คนญี่ปุ่นได้ทั้งแรงบันดาลใจ และความเชื่อว่ารางวัลโนเบลไม่ใช่เป็นเรื่องในความฝันหรือลอยอยู่นอกจักรวาล…
เมื่อได้ฟังดังนั้น ผู้เขียนเลยอยากจะช่วยให้ประเทศไทยของเราตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเลยรีบมาศึกษาผลงานโนเบลเป็นการใหญ่
คุณโยะชิโนริ โอชุมิ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ของปีนี้ เขาเป็นผู้ค้นพบกระบวนการรีไซเคิลตัวเองของเซลล์ด้วยการแตกตัวและกินตัวเอง หรือศัพท์ทางการแพทย์ (ศัพท์ภาษาที่พวกเราไม่ค่อยเข้าใจ) เรียกว่า Autophagy (หากรายการน้องณชายังอยู่ คงบอกให้ดูปากณชา และพูดตามนะคะ…. โอโต้ฟาจี้)
รูปที่เห็นด้านล่างคือ อาจารย์โอชุมิกับรูปโอโต้ฟาจี้
นักวิจัยสังเกตพบกระบวนการกลืนกินตัวนี้นานแล้ว โดยเห็นว่าเซลล์นั้นสามารถทำลายส่วนประกอบของเซลล์เองได้จากการหุ้มส่วนเหล่านั้นเข้าไปในเยื่อเมมเบรน แล้วลำเลียงสู่ส่วนรีไซเคิลที่เรียกว่า “ไลโซโซม” (lysosome) ความยากในการศึกษาปรากฏการณ์กลืนกินตัวเองของเซลล์นี้ทำให้เรามีองค์ความรู้เกี่ยวเรื่องนี้น้อยมาก จนกระทั่ง โยชิโนริ โอซูมิ ได้สร้างชุดการทดลองที่ยอดเยี่ยมในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยเขาได้ใช้ยีสต์สำหรับอบขนมจำแนกยีนเพื่อการกลืนกินตัวเองโดยเฉพาะ!!
เอาตามตรงนะครับ… ผู้เขียนก็ไม่มีปัญญาเข้าใจเหมือนกันแต่ผู้เขียนใฝ่ฝัน… ว่าภายในชาตินี้ จะมีบุญได้เห็นคนไทยแลนด์ของเราไปรับรางวัลโนเบลที่กรุงสตอร์กโฮมส์สวีเดน บ้างเช่นกัน !!
เรื่องแนะนำ :
– อาหารจีนสไตล์ Japan Only!
– คนญี่ปุ่น… เขาแชร์อะไรกันอ่ะ!?
– The Kaigi (Meeting) สมรภูมิญี่ปุ่นมึน
– วิธีน่าสนใจที่ผู้หญิงญี่ปุ่น เขา (แอบ?!) ใช้จีบผู้ชาย
– นิสัยแบบคุณ เชียร์ใครดี : Olympic จากเจแปนสู่ริโอ
#โนเบล…(อีกแล้ว)