Fukui มีแผนพัฒนาเมืองที่ระลึกเสมอว่าจะไม่ทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของตัว เมืองเสียไป ดังนั้นหากใครต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ตลอดจนวัฒนธรรมเก่าๆ ของญี่ปุ่น เมืองฟุกุอิจะมีให้คุณครบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เรื่องของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (เช่นการทำกระดาษ) ตลอดจนอุตสาหกรรมสิ่งทอ จนมีคำกล่าวกันว่า “หากคุณต้องการสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง คุณต้องเดินทางมาเที่ยวที่ฟุกุอิ” !
หลังจากในช่วงที่ผ่านมาผมได้เขียนเกี่ยวกับจังหวัดฟุกุอิหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์, วัดอิเฮจิ (วัดเซ็นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก) ตลอดจนโพสคลิปวีดีโอของยอดเขาเรนโบว์ไลน์ ทั้งหมดได้รับการตอบรับที่ดีมากจากแฟนๆ มารุมุระครับ
ดังนั้นผมจึงถือโอกาสนี้พาทุกคนไปรู้จักกับจังหวัดฟุกุอิในภาพรวมกันให้มากขึ้น เพราะตอนนี้ต้องบอกว่าฟุกุอิคือเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญของคนไทย และมีคนไทยไหลเข้าไปในตัวเมืองเยอะขึ้นมาก (ทางจังหวัดถึงขนาดทำป้ายประชาสัมพันธ์ภาษาไทยกันเลยทีเดียว!)
จังหวัดฟุกุอิมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปี มีจุดเด่นคือในอดีตเมืองนี้เป็นประตูสู่เกียวโต และนารา สองเมืองสำคัญของญี่ปุ่น ดังนั้นฟุกุอิจึงมีวัฒนธรรมผสมผสานกันจากหลายแห่ง รวมถึงวัฒนธรรมจากนานาประเทศ และสิ่งที่ทำให้ฟุกุอิมีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกวันนี้ก็คือ ฟุกุอิมีแผนพัฒนาเมืองที่ระลึกเสมอว่าจะไม่ทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเมืองเสียไป ดังนั้นหากใครต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ตลอดจนวัฒนธรรมเก่าๆ ของญี่ปุ่น เมืองฟุกุอิจะมีให้คุณครบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เรื่องของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (เช่นการทำกระดาษ) ตลอดจนอุตสาหกรรมสิ่งทอ จนมีคำกล่าวกันว่า “หากคุณต้องการสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง คุณต้องเดินทางมาเที่ยวที่ฟุกุอิ” !
สิ่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของฟุกุอินอกจากไดโนเสาร์ก็คือ “วัด” ครับ ที่นี่มีวัดหลากหลายแบบทั้งวัดแบบเซ็น และพุทธแบบทั่วไป
สาเหตุที่เมืองแห่งนี้มีวัดเยอะก็เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าเมืองนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงเก่าทั้งสองแห่งอย่างเกียวโตและนารา ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเป็นเมืองหลวง ทั้งเกียวโตและนาราจึงค่อนข้างแออัดวุ่นวายมาก ดังนั้นคนในสมัยก่อนจึงต้องการหาสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปเพื่อก่อสร้างวัด ให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้สถานที่ที่สงบและปราศจากการรบกวนจากภายนอกอย่างแท้จริง เหตุนี้ฟุกุอิจึงกลายเป็นศูนย์รวมของวัดตั้งแต่นั้น
โดยส่วนตัวผมมีโอกาสได้เดินทางไปวัดหลายๆ แห่งในฟุกุอิครับ ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรูปแบบของพุทธศาสนาในญี่ปุ่นกับไทยนั้นแตกต่างกันออกไป และในญี่ปุ่นอาจจะเน้นในเรื่องของจิตวิญญาณและความสงบส่วนบุคคลอย่างชัดเจน ดังนั้นพื้นที่ในวัดส่วนใหญ่จะเป็นที่โล่งๆ มีการจัดสวนแบบเซน (ก้อนหิน) หรือมีแม่น้ำไหลผ่าน มีศาลา มีรูปวาดปริศนาธรรม ทุกอย่างจัดวางอยู่อย่างโล่งๆ ไม่มีไกด์ไลน์ หรือไม่มีบอกมากมายว่าผู้ที่มาวัดต้องทำอะไร ต้องไหว้อะไร เพราะสิ่งสำคัญในการฝึกฝนตัวเอง คือการบอกกับตัวเองว่าจะแก้ไขเรื่องราวในชีวิตด้วยวิธีไหน นั่นเพราะไม่มีใครเข้าใจปัญหาที่เกิดลึกซึ้งไปกว่าตัวเราซึ่งเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง และด้วยความที่ฟุกุอิพยายามพัฒนาเมืองโดยคงสภาพของสถานที่เดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นวัดส่วนใหญ่ของฟุกุอิจะอยู่ห่างจากตัวเมือง หรืออาจจะไม่ห่างมาก แต่เราจะเห็นได้เลยว่าเขาแยกส่วนของเมืองกับเส้นทางไปสุ่วัดค่อนข้างชัดเจน จนเมื่อเราเดินทางไปถึงวัด เราจะรู้สึกว่ามันเงียบสงบ เหมาะแก่การฟื้นฟูจิตใจอย่างยิ่ง อันนี้คือสิ่งที่เราหาไม่ได้เลยจากวัดในเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะในเมืองสำคัญอย่างโตเกียวครับ
และสำหรับคนที่ชอบปราสาท เมืองฟุกุอิก็มีปราสาทที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นครับ ปราสาทนี้ชื่อว่าปราสาทโอโนะ ซึ่งผมชอบมากเป็นการส่วนตัว ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่ในฟุกุอิเลยครับ และมีจุดเด่นคือปราสาทนี้จะอยู่เหนือระดับเมฆ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมปราสาทจะซ่อนตัวอยู่เหนือเมฆทันที ทำให้ข้าศึกลำบากในการเข้าโจมตี (แต่สุดท้ายก็โดนเผาได้อยู่ดีแหละ) ซึ่งปราสาทนี้ได้รับการบูรณะใหม่ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก และหากใครที่ชอบปราสาทญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วปราสาทแห่งนี้ห้ามพลาดเลยครับ คือคนไทยหลายๆคนชอบดูทะเลหมอก ซึ่งผมบอกเลยว่าปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาที่เห็นทะเลหมอกอีกทีเนี่ย เป็นอะไรที่เจ๋งสุดๆ และไม่อยากให้พลาดจริงๆ ครับ
และสถานที่สุดท้ายที่ผมอยากจะแนะนำในวันนี้ก็คือ “ทะเลสาป” มิตากะ โกโกะ ซึ่งแปลว่า “ทะเลสาปห้าสาย” ที่เราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากยอดเขา สถานที่แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นจุดมองทะเลสาปที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น เราสามารถเห็นทะเลสาปทั้งห้าแห่งได้อย่างชัดเจน สถานที่แห่งนี้เราเรียกว่า Rainbow Line (ซึ่งผมจะเขียนอย่างละเอียดในลำดับต่อไป) สถานที่นี้นอกจากจะดูทะเลสาปได้อย่างสวยงามแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่โรแมนติก ซึ่งหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นหลายรายลงทุนเดินทางจากที่ไกลมาเพื่อจะมาคล้องแม่กุญแจคู่กัน และหากใครที่ยังไม่มีคู่ สถานที่นี้ก็ยังมีป้ายขอพรเอาไว้ เป็นกระเบื้องราคาห้าร้อยเยน ให้เราเขียนคำอวยพร และเขวี้ยงลงไปจากยอดเขา ลงไปในทะเลสาปเบื้องหน้าอีกด้วย ! (แต่ลมมันจะแรงมากกกก คือถ้าดวงตกมันก็จะพัดแผ่นคำอธิษฐานเรากลับมาบนฝั่ง ซึ่งนั่นคือดวงซวยสุดๆ)
ญี่ปุ่นยังมีอะไรน่าสนใจให้แวะชมอีกมาก หากมีโอกาสผมจะนำเรื่องจากต่างจังหวัดของญี่ปุ่นมาแนะนำอีกเรื่อยๆ เพื่อที่ผู้อ่านชาวไทยจะได้ลองมีไอเดียใหม่ๆ ในการเดินทางครับ
เรื่องแนะนำ :
– Eihei-ji วัดในตำนานที่ชีวิตนี้ต้องไปเยือนสักครั้ง
– พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ FUKUI 1 ในสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับคนรักไดโนเสาร์
– TONAMI : THE CITY OF TULIP “เมืองแห่งทิวลิปที่สวยที่สุดในโลก”
– เกือบตายในบาร์ญี่ปุ่น : การเอาตัวรอดจากคลับบาร์ในเวลาที่โดนโกง
– ORIGAMI ศาสตร์มาแรงแห่งปี 2016