มันเหมือนเป็นสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดของมนุษย์ เหมือนมีสัมผัสที่ 6 ก่อนออกเดินทางผมรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น มีคนแปลกหน้าเข้ามาในร้านเป็นคนที่ไม่เคยเห็น ท่าทางน่ากลัว ตัวใหญ่ ใส่แจ็คเก็ตคล้ายๆ กัน เลิกงานตี 3 แต่ผมเผ่นออกหลังร้านตั้งแต่ประมาณ 5 ทุ่ม
ภาพโดย : อ.วิโรจน์ สายดนตรี
ครับ….หลังจากที่มีกลุ่มคนที่จัดมาเตรียมถล่มผมโดยเฉพาะ ผมก็ตัดสินใจเก็บของจากค่ายมวย แล้วเดินทางไปหาอาเทียรมุ่งน่ากลับไปยังโตเกียวหาไดน่าในทันที
มันเหมือนเป็นสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดของมนุษย์ เหมือนมีสัมผัสที่ 6 ก่อนออกเดินทางผมรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร้านในคืนนั้น มีคนแปลกหน้าเข้ามาในร้านเป็นคนที่ไม่เคยเห็น ท่าทางน่ากลัว ตัวใหญ่ ใส่แจ็คเก็ตคล้ายๆ กัน เลิกงานตี 3 แต่ผมเผ่นออกหลังร้านตั้งแต่ประมาณ 5 ทุ่ม
อาเทียรขับรถออกจากโอซาก้ามุ่งหน้าสู่โตเกียว ผมหลับตลอดทางไม่ได้คุยอะไรกับอาเทียรเลย เหนื่อยก็เลยหลับไป รู้สึกตัวอีกทีถึงบ้านไดน่าแล้ว ผมเดินเข้าไปลูบหัวไดน่า แล้วเข้าไปอยู่ในบ้าน ไดน่าเตรียมอาหารไว้ให้ผมทาน เรานั่งคุยกันหลายเรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ไดน่าเดาออก คือผมต้องมีเรื่องแน่ๆ คงไม่ใช่แค่มาเยี่ยมธรรมดา ผมได้แต่พยักหน้ายอมรับว่าจริง เธอบอกผมว่าก็ยังดีที่เดือดร้อนแล้วยังนึกถึงเธอ วันนั้นผมจำได้ว่า เป็นวันที่ผมอยากกลับเมืองไทยมาก ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่รู้สึกเหงา
ฟังเรื่องไดน่าเล่าเรื่องพ่อไม่ค่อยกลับมา ทำให้ผมคิดถึงลูกมาก เธอบอกผมว่าถ้าอยากกลับเมืองไทยตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า กลัวว่าจะต้องรับโทษที่ญี่ปุ่นก่อนแล้วถึงจะกลับได้ ผมเริ่มกังวลมาก เพราะเคยได้ยินว่าถ้าต้องการกลับจริง ให้เดินไปสถานทูตไทยแล้วเขาจะส่งตัวกลับ แต่ฟังไดน่าดูแล้วมันไม่ง่ายแบบนั้น วันนั้นนั่งคุยกันนาน ส่วนอาเทียรขอตัวออกไปข้างนอก ผมว่าเธอคงไปเที่ยวอีกนั่นแหละ เธอติดแสงสี เป็นคนนอนไม่หลับถ้าไม่ได้ไปเที่ยวก่อน
ในบ้านไดน่าวันนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือมีรูปวาดของผมกับไดน่าและอาเทียร ติดอยู่ที่ฝาผนังห้องนั่งเล่น ผมไม่รู้ว่าเธอไปให้ใครวาดตอนไหน เขียนด้วยเครยองเป็นลายเส้นสวยมากครับ ทุกวันนี้ผมยังจำภาพนี้ได้ดี แล้วตั้งใจว่าถ้าได้กลับมาเมืองไทยจะขอภาพนี้กลับมาด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รูปนี้กลับมา เพราะอะไรไว้ค่อยเล่าอีกที
ยิ่งดึกยิ่งนอนไม่หลับ รออาเทียรกลับมาก็ไม่มาสักที เลยชวนไดน่าออกไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่น จำได้ว่าไปนั่งเล่นในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นอากาศหนาว นั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าเป็นบ่อน้ำ เหมือนเดิมครับ คุยกันน้อย ส่วนใหญ่เธอชวนผมคุย เธอพูดภาษาไทยเก่งขึ้นมาก เธอบอกว่าสงสารผมอยากช่วยผมกลับเมืองไทย จะคุยกับพ่อเธอให้ แล้วถ้ามีโอกาสเธอจะไปเยี่ยมผมที่เมืองไทย
คำพูดเพียงแค่นี้ทำให้ผมอบอุ่นมากครับ รู้สึกดีจนบอกไม่ถูก เหมือนมีน้องสาวที่รักและเป็นห่วงเรามากกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ช่วงนั้นผมเป็นคนใจแข็ง นั่งฟังแล้วไม่มีความรู้สึกใดๆ แสดงออกมา ถ้าเป็นปัจจุบันคงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เรานั่งกันอยู่ที่นั่นทั้งคืน จนสว่างแล้วถึงขับรถกลับบ้านแยกย้ายกันนอน เธอบอกผมว่าพรุ่งนี้ ถ้าอาเทียรกลับมาจะไปหาพี่หงษ์กัน
ผ่านไปอีกคืนอาเทียรถึงกลับมา เราสามคนก็เลยไปหาพี่หงษ์ด้วยกัน สภาพร้านของพี่หงษ์ไม่เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปคือคนที่ทำงานที่ร้าน คนไทยเหมือนเดิมแต่มีคนเก่าเหลือ 2 คนเท่านั้นที่จำผมได้ ผู้หญิงไทยที่มาทำงานแบบนี้ต้องมีเยอะจริงๆ ครับ ขนาดแค่ร้านพี่แกคนเดียว ช่วงเวลาไม่กี่เดือนคนหมุนเวียนเปลี่ยนไปหลายคน ไม่ใช่ว่ากลับเมืองไทยนะครับ ย้ายร้านไป หรือไม่ก็ถูกขายต่อไปเมืองอื่น ดีหน่อยก็ได้แฟนดีๆ แบบส้ม
วันนั้นไปร้านพี่หงษ์เจอแกพอดี ได้โอกาสแกเลยปิดร้านเลี้ยง ทำส้มตำหมูย่าง เนื้อย่าง ตามประสาคนไทยเรากินกัน แกบอกว่าไม่นานมานี้ ส้มก็พาแฟนมาเพิ่งกลับไปได้ไม่กี่วัน แบบนี้แหล่ะครับคนไทยในต่างแดน เพื่อนที่ดีก็เหมือนญาติ เท่าที่ผมอยู่ญี่ปุ่นมา ส้มเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในบรรดาเด็กของพี่หงษ์ เป็นเรื่องของบุญวาสนาครับ ใครว่ากรรมผมก็ไม่เถียง อย่างส้มก่อนมาขายตัวที่ญี่ปุ่นใครจะคิดว่าสบาย เหมือนตัดสินใจลงนรก ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ถึงปีกลับได้เจอคู่ชีวิตที่ดีรักกันจริง ชีวิตก็เปลี่ยนไป ถ้ายังอยู่เมืองไทยอย่างมากก็คงต้องเป็นหมอนวด หญิงขายบริการให้คนดูถูก ไม่มีวันโชคดีแบบนี้ วันนี้เธอสบาย มีเงินส่งให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัดในวันนั้นเดือนละ 50,000 บาท กตัญญูไหมล่ะครับ
เด็กวัยรุ่นบ้านเราจบปริญญาตรีได้เงินเดือน ทำงานกินเที่ยว ผมว่าน้อยคนครับที่จะส่งเงินให้ที่บ้านขนาดนั้น แต่ความกตัญญู ไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินหรอกนะครับ แต่ผมกำลังจะพูดถึงคนที่พ่อแม่ส่งเสียจนเรียนจบแล้วไม่เคยส่งเงินให้พ่อแม่ เลย อาชีพอะไรก็ดีทั้งนั้นนะครับ ผมมีโอกาสสัมผัสผู้หญิงที่มาขายบริการในต่างแดน แล้วได้รับฟังเหตุผลที่เขาต้องมา แล้วสิ่งที่เขาได้ทำ สิ่งที่เห็นคือความกตัญญู
คืนนั้นนั่งทานอาหารกันทั้งคืน อาเทียรก็เมา ผมก็เมา มีไดน่าเท่านั้นที่ไม่ได้ดื่ม เธอนั่งฟังตาแป๋ว เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ไม่ลุกไปไหนเลย เป็นคืนที่เหมือนจะสนุกสนาน แต่จริงๆ เปล่าเลยครับ ทุกคนคิดถึงบ้าน ชีวิตถ้าเลือกได้ทุกคนคงอยากให้ดีกว่านี้
สองสามวันก่อนได้มีโอกาสเจอเจ้าของเว็บไซต์ www.marumura.com ขอบคุณอีกทีสำหรับกำลังใจและข้อแนะนำบางอย่าง งานเขียนผมในเว็บนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เขียนหนังสือ อีกไม่กี่ตอนคงจะจบลง เป็นงานที่ผมไม่อยากทำในครั้งแรกที่ได้รับโอกาส แต่ก็เกิดเป็นความผูกพัน มีความสุขทุกครั้งครับที่นั่งพิมพ์ต้นฉบับ ขอบคุณครับที่ให้โอกาสผมได้ถ่ายทอดประสบการณ์
อ่านญี่ปุ่นในมุมมืดทั้งหมด คลิ๊ก >>> ญี่ปุ่นในมุมมืด