ในเวลาที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ผมว่าเป็นช่วงที่ชีวิตอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มีคนคอยช่วยเหลือน้อยบ้างมากบ้างแตกต่างกันไป สิ่งเหล่านี้นี่แหละ ทำให้เรารู้ว่าใครเป็นเพื่อนแท้ ใครเป็นของปลอม ใครเป็นของจริง ธาตุแท้จะออกมาตอนมีปัญหา
ภาพโดย : อ.วิโรจน์ สายดนตรี
ว่ากันต่อเลยนะครับ….. ชีวิตผมส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคนที่ถูกพรหมลิขิตขีดเส้นให้มาเจอกับผม เหมือนบังเอิญให้มาเจอกันแล้วต้องช่วยกันแก้ปัญหาชีวิตร่วมกัน ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีปัญหาให้เราต้องแก้ไขเสมอ มีความสงบอยู่ได้ไม่นานชีวิตขึ้นลงตลอด ในชีวิตเจอคนมากมาย ตั้งแต่ขอทานยันมหาเศรษฐีไม่มีใครต่างกัน
ในเวลาที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ผมว่าเป็นช่วงที่ชีวิตอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มีคนคอยช่วยเหลือน้อยบ้างมากบ้างแตกต่างกันไป สิ่งเหล่านี้นี่แหละ ทำให้เรารู้ว่าใครเป็นเพื่อนแท้ ใครเป็นของปลอม ใครเป็นของจริง ธาตุแท้จะออกมาตอนมีปัญหา
ในเวลานั้นคนที่ผมนึกถึงเสมอคือไดน่า ไม่รู้ว่าทำไมเวลามีปัญหามากๆ ทำไมผมนึกถึงเธอ เป็นเพราะช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กัน มันรู้สึกได้ถึงความห่วงใยและจริงใจ ส่วนอาเทียร ก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามให้ความช่วยเหลือผม แต่มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอยังไม่ใช่ เหมือนมีอะไรปิดบังอยู่และสุดท้ายก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนจบผู้อ่านจะทราบเองว่าทำไมอาเทียรถึงชวนผมมาอยู่ที่โอซาก้า
แรกๆ ที่มดหนีมาอยู่กับผม เธอจะนอนไม่ค่อยหลับคงเป็นเพราะหวาดกลัวเอเย่นต์ที่หากินบนหลังเธออยู่ ผ่านไปได้สักอาทิตย์หนึ่งเธอก็เริ่มชินไม่กลัว เริ่มออกไปไหนมาไหนมากขึ้น โดยมีเพื่อนผมที่ค่ายมวยไปเป็นเพื่อน เป็นคนไทยชื่อ “ธนู”
ธนูเป็นเด็กในค่ายมวย ตอนอยู่เมืองไทยเป็นเด็กอยู่ในค่ายมวยเกียรติประภัสร์ สมัยนั้นดังมากผมยังเคยได้ยิน แล้วก็เดินทางมาญี่ปุ่นกับกลุ่มนักมวยไทยที่มาต่อยที่โตเกียว แล้วก็หนี ไม่ยอมกลับเมืองไทย จนมาทำมาหากินอยู่ที่ค่ายมวยแห่งนี้ ซึ่งธนูได้เป็นแฟนกับมดในเวลาต่อมา ปัจจุบันมีลูกกัน 2 คนอาศัยอยู่ที่จังหวัดตราด เป็นเจ้าของเรือพานักท่องเที่ยวออกไปตกปลาทะเลที่เกาะช้าง
ในเวลานั้นธนูชอบมดมาก มาถามผมว่าผมกับมดเป็นแฟนกันรึเปล่า “เปล่าครับ ผมกับมดไม่มีอะไรกัน” แรกๆ มดไม่ได้ให้ความสนใจอะไรในตัวของธนู เพียงแค่ต้องการหาคนมาคอยช่วยเหลือเวลาที่ผมไม่อยู่ หรือต้องออกไปทำงานตอนกลางคืน เธอก็จะไปนั่งเล่นในห้องของธนู เธอกลัวว่าจะมีคนมาจับเธอ
ส่วนที่ร้านซากิกับพวกเริ่มสงสัยว่าที่มดหายไป และคิดว่าคนในร้านต้องมีส่วนรู้เห็น เลยตั้งรางวัลให้กับคนที่ชี้นเบาะแสว่ามดหนีที่ไหนกับใคร เล่นกันแบบนี้ผมก็จะแย่ถ้าไม่รีบทำอะไร ผมก็พูดกับคนสนิทๆ ปล่อยข่าวไปว่าใครพูดเรื่องนี้ผมเอาเรื่องแน่ เป็นตายเท่ากัน ทุกวันเวลาได้แต่นั่งลุ้นว่าเมื่อไหร่ความจะแตก มันเริ่มสงสยผมเพราะผมเป็นคนไทย จนมันให้คนมาถามผมว่าผมรู้เรื่องไหม ผมตอบว่า “รู้” ว่ามดหนีไปกับแฟนคนไทย แต่ไม่รู้ไปไหนเป็นใคร มันบอกว่าถ้าผมพาตัวมดกลับมาได้ จะให้เงินผม 30,000 บาท ผมก็ตอบไปว่ารู้เมื่อไหร่จะบอก มันก็เชื่อ
ผมเคยมีเรื่องชกต่อยกับลูกน้องมันครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องของคนมองหน้ากันไปกันมาแล้วหมั่นไส้ ในเวลานั้นใครชกต่อยกับผมตัวต่วสู้ผมยาก ร่างกายผมแข็งแรงและซ้อมมวยอยู่เกือบทุกวัน ถึงเป็นการรุมทำร้ายกันก็สู้ผมไม่ได้เพราะผมจะใช้เครื่องทุ่นแรง ส่วนใหญ่เป็นไม้หน้าสาม ยาวประมาณ 1 เมตร ผมซ่อนมันไว้ข้างๆ ประตู หน้าร้าน ใครมารุมทำร้ายผมหรือหาเรื่องผมก็จะกลัวไอ้ไม้อันนี้ คนญี่ปุ่นกลัวเรื่องพวกแบบนี้ เห็นเลือดไม่ได้จะเป็นลม และมองว่าเป็นเรื่องป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม
เรื่องมดผ่านไปไม่ถึงเดือนก็จบลง เธอกับธนูหนีไปด้วยกัน ก่อนไปมดเธอมาบอกผมว่าจะไปกับธนู ผมจำไม่ได้ว่าเธอบอกว่าจะไปอยู่ที่ไหน แต่รู้ว่าเป็นค่ายมวยเหมือนกัน เธอบอกว่าอยู่ที่ไหนจะโทรกลับมาบอก ผมเป็นคนไปส่งธนูกับมด บอกว่าขอให้สองคนโชคดีแล้วเจอกันอีกนะ ตั้งแต่วันนั้นผมไม่เจอเขาทั้งสองคนอีกเลยหลายเดือน จนมาเจออีกทีก่อนผมกลับเมืองไทย 1 เดือนที่โตเกียว ปัจจุบันยังติดต่อกันบ้างถ้าผมไปเที่ยวจังหวัดตราด ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังว่าธนูกับมดหนีกันไปแล้วไปทำมาหากินอะไร
ส่วนผมยังอยู่ที่ร้านนี้ต่อไป ธุรกิจของผมก็ไปด้วยดี ทั้งการเก็บค่าจอดรถ ขายบุหรี่เถื่อน เฉพาะค่าจอดรถในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เก็บได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ จนเรื่องนี้คงไปเข้าหูพวกแก๊งต่างๆ ในโอซาก้า ผมเริ่มมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญแวะเวียนมาหา มีคนมาเรียกค่าคุ้มครอง ซึ่งผมก็ยอมเพราะรู้ดีว่ามันเป็นธรรมเนียม ไม่งั้นผมคงอยู่ที่นี่ไม่ได้
แรกๆ ที่ทำไม่มีใครมาขอแบ่งผลประโยชน์เพราะว่าผลประโยชน์มันยังไม่เยอะมาก แต่ตอนนี้มันผลประโยชน์มันมากขึ้น พวกนี้ขอผมแบ่งผลประโยชน์ 20 เปอร์เซนต์ ตอนแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร ตอนหลังขอมากขึ้นผมเริ่มไม่ให้ มีการยกพวกตีกันบ้างกับเรื่องพวกนี้ จนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม ตอนนั้นผมมีลูกน้องอยู่ 10 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กในร้าน และมีนักมวยไทย 3 คน เป็นลูกน้อง ลุยกันทีไรพวกผมไม่เคยแพ้ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยมีตำรวจมาเกี่ยวข้องเลย อยู่ที่นั่นมาเกือบ 3 เดือน ไม่เคยเห็นตำรวจ อย่างมากจะเห็นแค่ตอนตั้งด่านตรวจเรื่องเมาไม่ขับ แต่เรื่องชกต่อยกับธุรกิจกลางคืน ผมไม่เคยเห็นตำรวจเลย เห็นแต่พวกยากูซ่า อย่างร้านที่ผมทำงานอยู่ต้องจ่ายเงินให้กับยากูซ่า ไม่งั้นก็จะพบกับปัญหาต่างๆ
อาเทียร …เธอยังไม่ไปไหน มานอนเล่นที่ค่ายมวยประจำ ผมยังสอนมวยไทยให้เธอเลย เธอก็ชอบนะบอกสนุกดี ที่ค่ายมวยแห่งนี้มีชาวญี่ปุ่นมาเรียนมวยไทยกันเยอะ ส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ และวัยรุ่น ในวันเสาร์อาทิตย์ มีเกือบ 20-30 คน ผมยังไปเป็นเด็กล่อเป้าให้คนมาเรียนหัดเตะบ่อยๆ สนุกดี ที่นี่มีกฏว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่มีสิทธิ์ขึ้นบนเวที จะมีพื้นที่ต่างหาก เฉพาะผู้หญิง กลางคืนผมก็อยู่ที่ร้าน กลางวันก็อยู่ที่ค่ายมวย บ้านของอาเทียรไม่ค่อยได้ไปแล้ว อาทิตย์หนึ่งจะไปสักครั้ง ไปนั่งให้อาหารปลาเป็นสิ่งที่ผมชอบทำมากที่สุด
ผมทวงถามอาเทียรเรื่องไปหาไดน่ากัน เธอบอกจะพาผมไปอาทิตย์หน้า ผมบอกกับเธอว่าถ้าโกหกผมจะไปเอง เธอทำหน้างงๆ แต่ก็รับปากผม เธอซื้อรถใหม่เป็นรถซูบารุ อิมเพรสซ่าสีแดง ผมไม่รู้จริงๆ ว่า เธอเอาเงินมากมายมาจากไหน หายไป 2-3 วันก็ไปถอยรถมาแล้ว ข้างหลังเธอติดสติ๊กเกอร์ว่า Sunburn แล้วก็มีรูปคล้ายดวงอาทิตย์
หลังจากได้รถมาเธอบอกว่าพรุ่งนี้เราจะไปหาไดน่ากัน เธอจะมารับที่ค่ายมวย การไปหาไดน่าในครั้งนั้นทำให้ผมได้กลับไปแข่งรถที่โตเกียวอีกครั้ง……..
อ่านญี่ปุ่นในมุมมืดทั้งหมด คลิ๊ก >>> ญี่ปุ่นในมุมมืด