ยกตัวอย่าง BOOK OFF ที่กระจายอยู่มากมาย อันนี้มีผลกับยอดขายโดยตรงครับ คือบางคนก็ได้หนังสือตัวเล่มแล้วโดยผ่านร้านมือสองเหล่านี้ โดยสมัยก่อนไม่มีใครรู้ว่าหนังสือเล่มนั้นเงินจะเข้ากระเป๋าร้านเพียวๆ หรือแบ่งอย่างไร
ตอนนี้ผมอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นครับ และมีโอกาสได้เข้าร้านหนังสืออัพเดทข่าวสารของวงการอยู่พอสมควร ในที่นี้ผมจะสรุปแยกเป็นประเด็นในลำดับต่อไป
อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยช่วงนี้เป็นช่วงต่อเนื่องมาจากเทศกาลคริสมาสต์และเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ อันถือเป็นเวลาแห่งความสุขที่ร้านแต่ละร้านจะนำเอาสินค้ามาลดราคากัน นั่นหมายรวมถึงร้านหนังสือต่างๆ ที่พากันจัดโปรโมชั่นแข่งขันกันอย่างมากมาย แต่ที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ก็คือร้านที่ขายหนังสือมือสองนั่นเองครับ
ร้านขายหนังสือมือสองปัจจุบันมีอยู่แทบจะทุกพื้นที่ของญี่ปุ่น และร้านรับซื้อหนังสือมือสองก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น (เช่นพวกร้านเล็กๆ ที่รับซื้อจากคนในชุมชนก่อนจะนำไปขายในร้านใหญ่ๆ อีกที) อย่างเช่นในโตเกียว บริเวณอย่าง นากาโนะ บรอดเวย์ ก็จะมีคนแบกหนังสือใส่ลังหรือมัดเป็นแพ็คๆ มาขายกันอยู่เป็นปกติ สิ่งนี้เองที่กลายมาเป็นวัฒนธรรมการอ่านของคนญี่ปุ่นในปัจจุบัน กล่าวคือปัญหาเรื่องการพัฒนาเมืองกลายมาเป็นปัจจัยที่ส่งผลอย่างไม่น่าเชื่อ
ยกตัวอย่างต้นเดือนก่อน ผมเดินทางไปตามสายชินคันเซนใหม่คือ Hokuriku ไปทางโทะยะมะ เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากความสะดวกสบายในการเดินทาง ก็คือแผนพัฒนาเมืองให้พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งใหลเข้ามาอย่างมหาศาล เหตุนี้ทำให้ค่าที่ดินแพงขึ้น จนกล่าวได้ว่าสังคมในละแวกนั้นค่อยๆ กลายสภาพเป็นดั่งสังคมเมืองแบบโอซาก้าหรือโตเกียวเข้าไปทุกขณะ
ในธุรกิจหนังสือญี่ปุ่นนั้น สิ่งที่ฝั่งผู้ผลิตกลัวกันมากที่สุดก็คือความขัดกันระหว่างความต้องการกับสิ่งที่เป็น ค่านิยมหลักๆ ของญี่ปุ่นคือการรักการอ่าน ชอบอ่านหนังสือ แต่ปัจจุบันพวกเขา “ไม่สามารถซื้อหนังสือมาตุนไว้ในบ้านได้อีกแล้ว”
บ้านที่ผมอยู่กับเพื่อนๆ ในสถานีอิจิกายะ ปัจจุบันเพื่อที่จะมีที่อยู่ในราคาเดิม จึงต้องย้ายมาอยู่ในห้องเล็ก (มาก) ที่เพียงวางเตียงกับของใช้อีกนิดหน่อยก็เต็มแล้ว เลิกคิดเรื่องหนังสือไปได้เลยครับ นำไปขายก่อนย้ายเรียบร้อย และปัญหาต่อมาก็คือ คนไม่ชอบอ่านหนังสือผ่านทางแท็ปเล็ท ที่ผ่านมาฝั่งผู้ผลิตพยายามอย่างยิ่งที่จะขยายตลาด e-book โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกการ์ตูนมังงะหลายๆเล่ม หรือมังงะรายสัปดาห์ที่เล่มใหญ่มากๆ พยายามจะยัดพวกนี้ลงไปในแท็ปเล็ทให้โหลดและอ่านกันสบายๆ แต่ก็ไม่รุ่งครับ คนญี่ปุ่นยังชอบการอ่านหนังสือจากตัวเล่มมากกว่าอยู่ดี เหตุนี้ธุรกิจร้านเช่าจึงเติบโตอย่างแรงในช่วงนี้ (รวมถึงพวกร้านเช่าวีดีโอ / เช่าเกมส์ด้วย)
ทีนี้มามองทางด้านของธุรกิจบ้างครับ แน่นอนว่าธุรกิจร้านเช่าคือตัวการสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้การขายดร็อปลง และทางด้านกฏหมายเอง แม้จะผิดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก คือได้ไม่คุ้มเสีย (ผมไม่เข้าใจเรื่องของกฏหมายมากจึงขอข้ามส่วนนี้ไป จะพูดในแง่ของภาพรวมในฐานะที่ทำงานในวงการนี้และจากการพูดคุยกับสนพ.ญี่ปุ่นโดยตรงมาตลอด) ตอนนี้ทางสนพ.เลยพยายามพูดคุยเพื่อหาทางออกในแง่ของร้านเช่าและส่วนแบ่งที่เจ้าของลิขสิทธิ์ควรจะได้รับ (ขออธิบายก่อนว่าหากเป็นการนำไปไว้ในห้องสมุดนั้นไม่เป็นอะไรนะครับ ถือเป็นส่วนของ education คือทางสนพ.รับได้และบางรายก็ส่งหนังสือให้ห้องสมุดเอง ถือเป็นคนละประเด็น)
ทีนี้ร้านเช่ามีข้อเสียอย่างเดียวรึเปล่า? คำตอบคือไม่หรอกครับ คือภายใต้ข้อเสียทางด้านยอดขาย มันถูกหักล้างกันว่าคนญี่ปุ่นมีนิสัยชอบเก็บสะสม ถ้าเรื่องไหนถูกใจเขาจริงๆ เขาก็จะหามาเก็บจนได้ ซึ่งพฤติกรรมนี้มันเป็นพฤติกรรมจริงๆ นะครับ คือเช่ามาเหมือนทดลองอ่านแล้วซื้อตามหลังจริงๆ ไม่ใช่ข้ออ้างลมๆ แล้งๆ เวลาจะเนียนเช่าอ่านอย่างเดียวแล้วกลัวเสียฟอร์มเหมือนหลายๆ คนรอบตัวเรา จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งเมื่อห้องเขาเต็มก็จะขายออกไปหาอะไรใหม่ๆ มาเก็บแทน นี่คือภาพรวมของพฤติกรรมคนเมือง ดังนั้นการทีร้านเช่ามีสถานะเป็นเหมือนช่องทางหนึ่งในการประชาสัมพันธ์หนังสือ และเป็น “ส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน” หนังสือบางเล่มก็มีกระแสดีขึ้น บางเล่มก็โดนตัดยอดแล้วแต่กันไป แต่ในภาพรวมยังถือว่าพอรับได้ ดังนั้นสนพ.ต่างๆ จึงยังไม่ดำเนินการในส่วนนี้มากเท่ากับพวกละเมิดลงอินเตอร์เน็ทนั่นเอง
ทีนี้ในแง่ของร้านมือสอง? ยกตัวอย่าง BOOK OFF ที่กระจายอยู่มากมาย อันนี้มีผลกับยอดขายโดยตรงครับ คือบางคนก็ได้หนังสือตัวเล่มแล้วโดยผ่านร้านมือสองเหล่านี้ โดยสมัยก่อนไม่มีใครรู้ว่าหนังสือเล่มนั้นเงินจะเข้ากระเป๋าร้านเพียวๆ หรือแบ่งอย่างไร ตรงนี้ในปัจจุบันจัดการได้พอสมควรแล้วครับ กล่าวคือตอนนี้วงการหนังสือญี่ปุ่น (และหลายแห่งทั่วโลก) เริ่มหันมาแจกของแถม ที่หาได้เฉพาะในของมือหนึ่ง และของจะจริงจังมาก เช่นกระเป๋า โปสเตอร์เกรดพรีเมี่ยม ฯลฯ (คือดูมีมูลค่ามากกว่าตัวหนังสืออีก) ดังนั้นเมื่อกลไกของตลาดมือหนึ่งเคลื่อนไหวเพราะคนอยากได้ของแถม เราจึงไม่ต้องกังวลนักกับตลาดมือสอง เพราะกลไกแท้จริงของการขายได้ดำเนินออกไปแล้วนั่นเอง
ในส่วนนี้แม้จะไม่สามารถกำจัดหรือทำลายสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างถาวร แต่สิ่งที่ทางสนพ.ทำได้ดีที่สุดคือการปรับตัวและใช้บริบทนี้ให้เป็นประโยชน์ ร้านมือสองหลายๆ แห่งในปัจจุบัน รับหนังสือมือหนึ่งจากสนพ.มาขายครับ คือหนังสือบางเล่มสต็อคเหลือ เขาจะนำมาขายให้ร้านพวกนี้ในราคาทุนหรือต่ำกว่าทุน เพื่อที่พอนำรายได้มารวมๆ หักลบแล้ว จะทำให้เงินของแต่ละชุดหนังสือนั้นพ้นตัวแดงและไม่ขาดทุน ดังนั้นจากธุรกิจตัดรายได้ ก็กลายมาเป็นธุรกิจเกื้อหนุนในบางกรณี (แบบเดียวกับที่เราเห็นร้านขายหนังสือเล็กๆตามรถไฟฟ้าน่ะครับ นั่นคือการนำมาโละคืนทุน) และด้วยระบบของร้านมือสองญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งมาก การร่วมมือในแบบนี้ทำให้สนพ.คืนทุนอย่างรวดเร็ว ถือว่าใช้ประโยชน์จากโครงข่ายได้อย่างชัดเจนครับ
สรุปแล้วตอนนี้วงการหนังสือญี่ปุ่นอยู่ในภาวะ “รับมา-ขายไป” นั่นเองครับ อ่านเสร็จก็ส่งต่อหรือนำไปขาย จะเก็บเฉพาะสิ่งที่ต้องการเอาไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง วงการหนังสือญี่ปุ่นปรับตัวอยู่ตลอดเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งผมมองว่าอีกไม่นานประเทศของเราอาจจะมายู่ในภาวะเดียวกันซึ่งเราก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้เสมอ (ในญี่ปุ่นตอนนี้เวลาตลาดซบเซา แกจะผลิตพวกหนังสือระบายสี หนังสือ ORIGAMI สอนพับกระดาษ / วาดรูป โดยหยิบเอาคาแรกเตอร์ดังๆ มาใช้ พวกนี้ใช้ได้ครั้งเดียวและเด็กๆ ชอบมาก เด็กคือผู้ซื้อหลักที่ขายง่ายที่สุดตอนนี้ครับ ของพวกนี้จะแถมพวกกระดาษและสีไม้ฟรีๆ ทำให้ยอดขายหนังสือของแต่ละสนพ.ยังขายออกเรื่อยๆ ไม่มีทางล้มอย่างแน่นอน)
สรุปแล้วในการทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญคือการโอนอ่อนและปรับตัว แค่นี้เราก็จะคงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคงแล้วล่ะครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @PUMIIIIIIIIII ครับ
เรื่องแนะนำ :
– พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ FUKUI 1 ในสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับคนรักไดโนเสาร์
– TONAMI : THE CITY OF TULIP “เมืองแห่งทิวลิปที่สวยที่สุดในโลก”
– การจากไปของ “Takahashi Minami” และความเปลี่ยนแปลงของ AKB48
– สุดยอดเกมมวยปล้ำญี่ปุ่นในตำนาน
– ทำไมต้องไปญี่ปุ่นกับทัวร์