จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยชอบที่คนญี่ปุ่นมักจะเอาความประพฤติของคนไทยไปเปรียบเทียบกับคนญี่ปุ่น ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมมักจะเจอประโยคที่ฟังแล้วก็เหมือนการดูถูก อย่างเช่น “ทำไมทำไม่ได้? อายุมากขนาดนี้แล้ว! รู้ไหมว่าคนญี่ปุ่นเขาทำได้ตั้งแต่เด็กแล้ว”… ฯลฯ
หลังจากที่ในสองสัปดาห์ก่อนผมเขียนเรื่อง การทำงานกับคนญี่ปุ่นโดยมองในมุมที่โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นมุมมองที่ค่อนข้างเครียด รวมถึงเรื่องทัศนคติของคนญี่ปุ่นที่มีต่อการทำงานของคนไทย ซึ่งบางทีก็ออกจะดูน่ากังวลไปสักนิดหนึ่งจนมีหลายๆ คนถามเข้ามาว่า ถ้ามันเครียดขนาดนั้น จะทนอยู่ทำไมตั้งหลายปี?
ดังนั้น ผมคิดว่าควรจะมาเขียนอีกสักบทความหนึ่งเพื่อเล่าถึงข้อดีและสิ่งที่ผมได้รับ จากการทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้เป็นอีกหนึ่งข้อมูลในการตัดสินใจหากมีโอกาสได้เลือก ทำงานกับคนญี่ปุ่นครับ
โดยปกติแล้วทัศนคติเริ่มต้นของคนญี่ปุ่นในการรับคนเข้าทำงานคือการ “ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง” ของกันและกัน ดังนั้นบริบทที่เอาไว้รองรับการต่อว่าหรือตักเตือนต่างๆ คือ “คุณดีพอหรือไม่กับการเป็นส่วนหนึ่งของเพื่อนร่วมงาน”
ในส่วนนี้จะต่างกับการทำงานที่อื่นนะครับ ยกตัวอย่างการทำงานกับคนไทยในบางแห่งจะมีการแบ่งชนชั้นระหว่างพนักงานกับ หัวหน้าที่ชัดเจนมากๆ ทำให้เรารู้สึก “ไม่เป็นส่วนหนึ่งของกัน” ไปโดยปริยาย ซึ่งอาจสรุปบริบทตรงส่วนนี้ได้ว่า “คุณดีพอหรือไม่กับการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร?”
ความแตกต่างตรงส่วนนี้เองที่ทำให้ผมประทับใจการทำงานของคนญี่ปุ่น แน่นอนว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นทุกคนที่จะอ่อนโยนหรือเข้าใจเราไปซะทุกเรื่อง แต่ด้วยความที่ “พื้นฐาน” มันเป็นแบบนี้ การดุด่าที่บางทีอาจจะรุนแรง ก็เพื่ออยากให้เราเป็นส่วนหนึ่งของกัน ผมว่าผมสามารถรับเหตุผลเหล่านี้ได้ และพยายามปรับคำต่อว่าต่างๆ เป็นแรงผลักดัน ดังนั้นหากใครที่เพิ่งเริ่มทำงานกับคนญี่ปุ่น ก็อยากให้ลองเปิดมุมมองที่แตกต่างออกไปดูบ้าง แล้วจะมีความสุขในการทำงานมากขึ้นครับ
จากนั้นก็คือในเรื่องของทัศนคติเชิงเปรียบเทียบ จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยชอบที่คนญี่ปุ่นมักจะเอาความประพฤติของคนไทยไปเปรียบเทียบกับ คนญี่ปุ่น ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมมักจะเจอประโยคที่ฟังแล้วก็เหมือนการดูถูก อย่างเช่น
“ทำไมทำไม่ได้? อายุมากขนาดนี้แล้ว! รู้ไหมว่าคนญี่ปุ่นเขาทำได้ตั้งแต่เด็กแล้ว”… ฯลฯ
ยอมรับเลยครับว่าตอนนั้นมีอารมณ์โกรธอยู่พอสมควร แต่พอเวลาผ่านไป ผมลองตัดสินใจมองข้ามคำต่อว่าเหล่านั้น (คือถ้าสงสัยว่าทำไมปล่อยให้โดนว่าตลอด ต้องชี้แจงว่าการทำงานกับคนญี่ปุ่นในสายงานที่ผมทำนั้น งานทุกงานเป็นงานด่วนและต้องสมบูรณ์แบบที่สุดครับ เราไม่มีเวลาจะมานั่งเกรงใจหรือปฏิบัติตามธรรมเนียมตลอดเวลา ดังนั้นเราจะเปิดกว้างในการต่อว่ากัน โดยที่พองานจบแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนพูดคุยกันได้ตามปกติ)
เราจะเห็นว่าคนญี่ปุ่นมีทัศนคติต่อการดำรงชีวิตที่น่าสนใจ มีอยู่วันหนึ่งผมพาหัวหน้าขึ้นรถไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ซึ่งเขาตื่นตระหนกตกใจมากกับเสียงโฆษณาอันชวนหนวกหู รวมถึงคนข้างๆ ที่เปิดเพลง (ในหูฟัง) เสียงดังสะเทือนไปถึงแก่นโลก ตรงนี้ต่างกับทางญี่ปุ่นมากๆ เขาบอกกับผมว่า
“ที่ญี่ปุ่น คนจะถูกสอนให้มีเป้าหมายตลอดเวลา เขาจะไม่อยากแค่เดินไปตามถนน หรือขึ้นรถไฟไปเฉยๆ เหตุนี้เขาจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสถานที่สาธารณะให้กลายเป็นสถานที่ส่วน ตัว ด้วยบริบทด้านความประพฤติของตัวประชาชนเองเนี่ยแหละ ดังนั้นรถไฟของญี่ปุ่นจึงต้องเงียบและให้เกียรติคนที่อาจกำลังครุ่นคิด ระหว่างเดินทาง”
นี่เป็นเพียงมุมมองเล็กๆน้อยๆ ที่แตกต่างกันระหว่างญี่ปุ่นและประเทศไทย แต่ก็เป็นทัศนคติที่ผมชื่นชอบครับ
ประเด็นต่อมาคือคนญี่ปุ่นจะมีแนวคิดว่า “ใช้ให้เยอะ ตอบแทนให้เยอะ” คือมันอาจจะเป็นดาบสองคมก็ได้ครับ เพราะมันต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่า “ใช้ให้เยอะ” มันอยู่ในระดับไหน และ “การตอบแทน” มันเหมาะสมกันรึเปล่า บริษัทญี่ปุ่นบางแห่งใช้งานคนหนักเกินจริงๆ และคิดว่าสุดท้ายถ้าให้เงินแล้วทุกอย่างก็จบ ไม่ได้มีการใส่ใจรายละเอียดอื่นๆ ของการอยู่ร่วมกัน แบบนี้ก็มีเช่นเดียวกัน โชคดีที่บริษัทของผมเป็นไปในทิศทางที่ดีครับ งานเยอะ ปาร์ตี้ถี่ นอนเล่นในที่ทำงานได้ โดยมีข้อแม้อย่างเดียวคืองานต้องเสร็จและต้องมีกาลเทศะเสมอ
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ บริษัทญี่ปุ่นจะซีเรียสเรื่อง “การพัฒนาพนักงาน” การพัฒนาในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงแค่การให้งานหนักๆ เพื่อให้องค์กรเติบโต แต่รวมไปถึงการให้ทุนสนับสนุนพนักงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
กล่าวคือที่ญี่ปุ่นเนี่ยปกติแล้วเขาจะให้พนักงานอยู่กันยาวเลยครับ บางรายนี่อยู่กันจนอายุเกิน 100 ก็ยังทำงานอยู่ด้วยซ้ำ (ที่ญี่ปุ่นมันมีหนังสือที่กำลังดังอยู่เล่มหนึ่ง ว่าด้วยคุณปู่อายุ 100 กว่าๆ แต่ยังนั่งรถไฟไปทำงานอยู่ทุกวัน) ตรงนี้แหละคือเรื่องที่ผมคิดว่าดีนะ ถึงแม้ญี่ปุ่นจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุในปัจจุบันแต่ผมคิดว่าญี่ปุ่นยังให้ ความสำคัญกับ “คุณค่า” ของคนเสมอ
สรุปแล้วผมคิดว่าการทำงานที่ไหนก็ดีทั้งนั้นล่ะครับถ้าเราตั้งใจทำงานและไม่ ทำตัวเองให้เป็นปัญหา การทำงานนั้นแท้จริงแล้วคือการนำความเป็นตัวเองไปอยู่ร่วมกับคนอื่น ถ้าเราทำตรงส่วนนี้ได้ เราจะมีความสุขในการขับเคลื่อนบริษัทไปพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมงานทุกๆ คนครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า หรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ