ท่าน Ryunosuke Koike ได้กล่าวว่าคนในปัจจุบันมักป่วยด้วยโรคทางความคิด คือคิดไม่หยุด หยุดคิดไม่ได้ จนถึงขั้นไม่สามารถควบคุมความคิดได้ บางทีก็คิดวกไปวนมาไร้สาระ บางคนก็เก็บไปคิดต่อตอนนอนทำให้ฝันจนแทบไม่ได้หลับสนิทเลย ความคิดในหัวของเราส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด อาการการคิดมากจนเกินไปทำให้เกิดอาการต่างๆ ต่อไปนี้
เมื่อปีที่แล้วดิฉันได้ซื้อหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “ฝึกให้ไม่คิด” แต่งโดยพระสงฆ์ชาวญี่ปุ่นชื่อว่า ท่าน Ryunosuke Koike
ดิฉันไม่ได้หยิบมาอ่านเลยจนกระทั่งสัปดาห์ก่อนที่เกิดความคิดฟุ้งซ่านและจู่ๆ ก็นึกถึงหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เมื่ออ่านจบเห็นว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนวัยทำงานในยุคดิจิตอลอย่างเราๆ มาก
ท่านโคะอิเกะได้กล่าวว่าคนในปัจจุบันมักป่วยด้วยโรคทางความคิด คือคิดไม่หยุด หยุดคิดไม่ได้ จนถึงขั้นไม่สามารถควบคุมความคิดได้ บางทีก็คิดวกไปวนมาไร้สาระ บางคนก็เก็บไปคิดต่อตอนนอนทำให้ฝันจนแทบไม่ได้หลับสนิทเลย ความคิดในหัวของเราส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด อาการการคิดมากจนเกินไปทำให้เกิดอาการต่างๆ ต่อไปนี้
1 ไม่มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน
เพราะใจนั้นคอยจะหวนคิดถึงอดีตทั้งเรื่องดีและร้ายที่ผ่านมา และกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ทำให้เราไม่ใส่ใจกับเรื่องราวในปัจจุบันหรือแม้แต่คนที่เรากำลังพูดด้วยตรงหน้าเพราะใจมัวแต่คิดเรื่องอื่น เราจะไม่พอใจกับสิ่งที่เราได้มา เพราะใจเรานั้นคิดไปถึงสิ่งที่เราเคยได้ในอดีตหรือแม้แต่สิ่งที่เราอยากได้ในอนาคต
2 หลงๆ ลืมๆ เหม่อลอย
อาการนี้หลายคนคงเป็นบ่อย เช่น ปิดประตูแล้วลืมกุญแจ ใส่แว่นอยู่แต่หาแว่นไม่เจอ หยิบสบู่มาสระผม หรือออกจากบ้านแล้วจำไม่ได้ว่าปิดไฟ ปิดพัดลมหรือยังทำให้ต้องกลับไปดูใหม่ นั่งรถเลยป้ายที่จะต้องลง หนักๆ เข้าแบบเพื่อนดิฉันคือหยิบเคาท์เตอร์เพนมาบีบแทนยาสีฟัน ฮ่าๆๆ เนื่องจากเราอยู่ในภวังค์ความคิดเรื่องอื่นตลอดเวลา ทำให้เราไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำที่เรากำลังทำอยู่เลย จึงไม่มีสตินั่นเอง
3 เกิดอารมณ์ต่างๆ มากเกินความจำเป็น
เพราะว่าเราคิดมากเกินไป เช่น เจ้านายเรียกหา แต่เราคิดไปก่อนแล้วเจ้านายคงเรียกเราไปด่าแน่ๆ ทำให้เราเกิดความวิตกกังวลอย่างหนัก เอ๊ะ หรือจะเรียกไปใช้งาน โหย…เจ้านายไม่รู้หรือไงว่าเรางานเยอะจนทำไม่ทันอยู่แล้ว เป็นเจ้านายที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ พอคิดเช่นนี้ก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเจ้านายอาจเรียกไปถามไถ่ปกติ
4 เหนื่อยและอ่อนเพลียมาก
เนื่องจากเราใช้งานสมองเราในการคิดตลอดเวลาโดยไม่ได้หยุดพักเลย เหมือนกับการใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์จนแบตเตอรี่ร้อน เมื่อสมองถูกใช้งานมากไปจึงทำให้เกิดอาการอ่อนล้า บางคนจึงเกิดอาการนอนเท่าไรก็ไม่พอ หรือรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนบ่อยๆ ในยามบ่ายจนต้องพึ่งกาแฟหลายๆ แก้ว
ท่านโคะอิเกะกล่าวว่าความคิดของเราในด้านลบๆ ทุกอย่างเกิดเพราะกิเลส หลังจากที่เราได้รับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสทั้งหกได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เราก็ทำการแปลงสารโดยใช้กิเลสของเรานั่นก็คือ ความโลภ โกรธ หลง ปรุงแต่งให้เกิดเป็นความคิดต่างๆ ขึ้น (โดยมากเป็นความคิดลบๆ)
วิธีการไม่คิดฟุ้งซ่านมากเกินไปก็คือให้เรามีสติกับลมหายใจและการเคลื่อนไหว เราไม่จำเป็นต้องบริกรรมยุบหนอ พองหนอ หรือพุทโธๆ เพียงแค่เรารู้ว่าเรากำลังเดิน กำลังอาบน้ำ กำลังนั่งทำงาน กำลังรับประทาน กำลังคุยกับใคร ให้รู้สึกตัวในทุกๆ ขณะ และไม่ไปปรุงแต่งโดยใช้ความคิดเรา หากทำได้แบบนี้ก็จะมีประโยชน์หลายประการคือ
1) เป็นการละกิเลส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในปัจจุบันดูทีวี ใช้อินเตอร์เน็ทและโทรศัพท์มากขึ้นทำให้มีสิ่งกระตุ้นสัมผัสทั้งหกของเราเกือบตลอดเวลา เมื่อได้รับการกระตุ้นแล้วบางคนก็เกิดกิเลสเช่น อยากซื้อของตามโฆษณา อยากหล่อ สวยแบบพระเอก นางเอกในละคร อยากให้คนมายอมรับจึงคิดจะเขียนบล๊อคของตัวเองโดยพยายามคิดว่าจะเชียนยังไงให้คนชื่นชอบ โพสต์รูปบนเฟซบุ้กเพื่อให้คนกดไลค์ หากไม่มีคนมาไลค์ก็มานั่งเศร้าอีก บางคนก็ติดไลน์รอข้อความคนอื่นจนไม่เป็นอันทำอะไร ความอยากอันนี้ก็คือความโลภ บางคนก็โกรธเวลาไม่ได้ดังใจหรือมีใครมากวนอารมณ์เพียงเล็กๆ น้อยๆ การมีสติรู้ทันความคิดก็จะทำให้เกิดกิเลสน้อยลง
2) มีความสุขกับปัจจุบัน
การรู้สึกตัวจะทำให้เราหันมาใส่ใจกับความสุขเล็กๆ รอบตัว เช่น เสียงนกร้อง อากาศดีๆยามเช้า ต้นไม้ ดอกไม้ รอยยิ้มของคนรัก ฯลฯ นอกจากนี้ยังทำให้เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่เรากำลังคุยด้วยตรงหน้ามากขึ้น เช่น สัมผัสได้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร หรือคิดเช่นไร
3) ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อสมองไม่ถูกรบกวนด้วยความคิดไร้สาระ เราก็จะไม่เปลืองพลังงานสมองไปโดยเปล่าประโยชน์ ผลก็คือเราเอาสมองมาคิดในเรื่องสำคัญๆ ได้ และคิดเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอนทำให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ นอกจากนี้หากคิดแต่ในเรื่องที่ควรคิดจิตใจเราก็จะปลอดโปร่งและสดชื่นมากขึ้นค่ะ
สำหรับตอนนี้ธรรมะสวัสดีค่ะ
เรื่องแนะนำ :
– โสด เหงา สาวออฟฟิสญี่ปุ่น
– แต่งตัวยังไงให้ดูมืออาชีพ
– บทบาทสตรีญี่ปุ่นในที่ทำงาน
– ทำงานที่ญี่ปุ่น … เที่ยงนี้ กินอะไรดี
– นั่งรถไฟไปทำงาน อุปสรรคที่พบพานทุกเช้าเย็น
#Ryunosuke Koike