Saki ni Umareta dake no Boku ผลงานละครล่าสุดของ โช ซากุราอิ วง Arashi ละครญี่ปุ่นแนว School เรื่องหนึ่งที่ต้องเก็บไว้ในลิสต์เลยค่ะ
โรงเรียนเป็นสถานศึกษาที่ให้ความรู้แก่พวกเรา และในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันคือธุรกิจประเภทหนึ่ง และจะเป็นอย่างไร หากหนุ่มธุรกิจ มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่ไม่เคยเป็นครูมาก่อน กลับมารับตำแหน่งเป็น “ครูใหญ่” เพื่อฟื้นฟูสถานะทางการเงิน และปฏิรูปการศึกษาให้ดีขึ้นกว่าที่เป็น
Saki ni Umareta dake no Boku ผลงานละครล่าสุดของ โช ซากุราอิ วง Arashi ค่ะ ที่มารับบทนำเป็นหนุ่มธุรกิจมากกว่าความสามารถ แต่โดนย้ายมาประจำตำแหน่งเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนเอกชนเคเมคัง ตอนแรกนึกว่าจะเป็นละครแนวธุรกิจทั่วไป แต่พอดูไปเรื่อยๆ คิดว่าเป็นละครญี่ปุ่นแนว School เรื่องหนึ่งที่ต้องเก็บไว้ในลิสต์เลยค่ะ
ผมนี่แหละครูใหญ่!
Saki ni Umareta dake no Boku เป็นเรื่องราวของ เรียวสุเกะ นารุมิ (รับบทโดย โช ซากุราอิ) พนักงานบริษัทคนหนึ่งที่มีผลงานดีเสมอมา แต่ว่าวันหนึ่งเขากลับถูกย้ายไปประจำตำแหน่งเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ที่กำลังประสบปัญหาเรื่องการเงิน และระดับของโรงเรียนไม่ค่อยดีนัก คะแนนเฉลี่ยของเด็กนักเรียนก็น้อย และนี่คืองานใหม่ที่นารุมิต้องรับผิดชอบ ทำอย่างไรก็ได้ให้สถานะทางการเงินของโรงเรียนดีขึ้นจนได้กำไร และมีภาพลักษณ์โรงเรียนที่ดี จนไม่ว่าเด็กคนไหนก็อยากมาเรียน
และงานนี้ก็ดูเหมือนไม่ง่าย เพราะต้องไปเจอกับเหล่าคุณครูที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการของเขา และนับวันนารุมิก็เริ่มเข้าใกล้จิตวิญญาณของความเป็นครูไปอย่างที่เขาไม่ได้คาดคิด แทนที่เขาจะมาดูแลแค่แผนการเงิน แต่เขากลับทำมากกว่านั้น ด้วยการปฏิรูปการศึกษา ที่สามารถทั้งเพิ่มกำไรให้โรงเรียน เพิ่มคุณภาพของนักเรียนและคุณครู และสร้างผู้คนให้พร้อมเดินเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ที่พวกเด็กๆ ไม่เคยพบ ไม่เคยเข้าใจมาก่อน
เมื่อโรงเรียนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ
เรื่องนี้แทบจะต่างจากละครแนว School ของญี่ปุ่นในหลายๆ เรื่องค่ะ เพราะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของโรงเรียนในแง่มุมของธุรกิจ ตอนเด็กๆ เราอาจมองว่า โรงเรียนเป็นสถานที่ในการเข้าไปศึกษาหาความรู้ เราอาจจะรู้สึกว่าโรงเรียนนั้นเป็นเหมือนผู้ให้ แต่เอาจริงแล้ว ไม่มีใครเสียสละอะไรให้ใครแค่ฝ่ายเดียวหรอกค่ะ
แต่ทุกอย่างคือธุรกิจ ครูใหญ่นารุมิได้นิยามความเป็นโรงเรียนกับธุรกิจให้เห็นว่า โรงเรียน เป็นเหมือนสินค้า ส่วนนักเรียน ผู้ปกครองของเราก็เป็นเหมือนลูกค้าของเรา ถ้าอยากเพิ่มกำไร ก็ต้องมีลูกค้าเยอะๆ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของเรา พอพูดประโยคแบบนี้ไป ก็เล่นเอาคุณครูผู้ยึดมั่นในหน้าที่การเสียสละ ถ่ายทอดความรู้ ถึงกับรับไม่ได้แล้ว เพราะแนวคิดระหว่างนักธุรกิจ และครูผู้สอนย่อมต่างกัน แต่ละครเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว มันก็ไม่มีใครให้อะไรเราไปอย่างฟรีๆ เสียทีเดียวหรอก เราได้ความรู้ ในขณะที่โรงเรียน รวมถึงครู อาจารย์ ต่างก็ได้เงินค่าเล่าเรียนของเราไป เคยได้ยินไหมคะ กับคำพูดที่ว่า “การเรียนก็คือการลงทุน” และที่สำคัญ ต่อให้โรงเรียนมีอาจารย์ที่เพียบพร้อม แต่โรงเรียนนั้นก็อาจต้องปิดตัวไปได้ ถ้า “ไม่มีเงิน” มาบริหารโรงเรียนเลย
ครูคะ ครูครับ เราเรียนไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราก็ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง ?
เป็นอีกหนึ่งคำถามหนึ่งที่เป็นประเด็นน่าสนใจในละครเรื่องนี้ค่ะ เชื่อว่าเป็นคำถามที่เด็กหลายคนเคยสงสัย และเราเองก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกันในตอนเด็กๆ เด็กนักเรียนหลายคนก็อาจสงสัยว่า วิชาที่เราเรียน เอาไปใช้ทำอะไรในชีวิตจริงเหรอ อย่างตรีโกณมิติ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เราเรียนกันไปเพื่ออะไร?
และครูใหญ่นารุมิก็เป็นคนแรกที่เจอเด็กถามคำถามนี้กลางห้องเรียนค่ะ เพราะเด็กๆ รู้ว่า ครูใหญ่ นารุมิเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน และถูกส่งตัวมาจากบริษัทแม่ เพื่อมาแก้ไขปัญหาทางการเงินของโรงเรียน เด็กๆ
นักเรียน: ครูใหญ่ก็เป็นแค่คนทั่วไป แถมเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนด้วย พวกฟังก์ชั่นหรือแคลคูลัสมันมีประโยชน์ไหมคะ ครูใหญ่เคยใช้มันในที่ทำงานไหมคะ
ครูใหญ่: ไม่เคย
นักเรียน: งั้นเราจะเรียนมันไปเพื่ออะไร?
เจอคำถามนี้มา ครูนารุมิตอบเด็กไม่ได้เช่นกันค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องจริงในชีวิตการงานของเขาว่า ตั้งแต่ทำงานมาเนี่ย ก็ไม่เคยใช้เรื่องพวกนี้เลยจริงๆ แต่แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาได้ดูการสอนของคุณครูคนหนึ่งที่น่าประทับใจ และครูคนนั้นก็เจอคำถามเดียวกัน แต่เขากลับตอบได้อย่างหมดเปลือก และนั่นทำให้ นารุมิเองก็คิดออกขึ้นมาว่า “เราเรียนไปทำไม”
“ถึงผมจะไม่เคยได้ใช้ฟังก์ชั่นในที่ทำงาน แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นประโยชน์
คณิตศาสตร์ คือ สิ่งที่เราต้องหาหนทางเพื่อให้ได้คำตอบ
ต้องดูว่ามีข้อผิดพลาด หรือมีคำบอกใบ้ตรงไหน
สรุปว่า…มันคือการเรียนรู้ที่ช่วยปลูกฝังทักษะการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
ในชีวิตจริงเราอาจจะไม่ได้ใช้กันตรงๆ แต่ความรู้ที่เรียนมันไม่สูญเปล่าแน่นอน อย่างเช่น วิชาคณิตศาสตร์ นอกจากจะทำให้เราเรียนรู้เรื่องการคำนวณ มันยังช่วยสอนเรื่องระบบความคิดตามหลักการของเหตุและผลได้อีกด้วย
“อย่างน้อยจากการเรียนรู้เรื่องฟังก์ชั่นและแคลคูลัส
เราจะมีทักษะในการตัดสินใจที่ถูกต้อง
และมันจะเป็นทักษะที่ทำให้เราอยู่รอดในสังคมต่อไป”
เป็นไปได้ไหมที่เราจะสอนให้เด็กได้เรียนรู้โลกจริง
เรามักจะเคยได้ยินกับคำพูดที่ว่า “โลกในรั้วโรงเรียนกับโลกจริงนี่ต่างกันโดนสิ้นเชิงนะ” แล้วทำไมคุณครูถึงไม่สอนเรื่องเหล่านั้นให้กับเด็กล่ะ อย่างในละครเรื่องนี้ ก็จะแสดงออกมาชัดเจนค่ะว่า คุณครูทุกท่านเลือกที่จะไม่พูดกับเด็กตรงๆ ถึงปัญหาสังคม หรือสิ่งที่พวกเขาจะไปเจอ เหตุผลก็คือ
“แม้จะเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ก็ยังถือว่าเป็นเด็กอยู่”
“เขาเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมปลาย ไม่ต้องไปยัดเยียดชีวิตจริงให้พวกเขาหรอก”
แต่นารุมิกลับไปเหมือนคุณครูคนอื่นน่ะสิคะ เพราะแกเล่นบอกทุกอย่างในโลกของการทำงานให้เด็กได้รู้ แรกๆ เด็กถึงกับช็อคค่ะ ไม่มาโรงเรียนหลายวัน และนั่นก็ทำให้นารุมิถูกคุณครูในโรงเรียนต่อว่า ที่ทำอะไรลงไปโดยพลการ แต่ผลกลายเป็นว่า เด็กคนนั้นเริ่มกลับมาคิดทบทวนเรื่องของตัวเอง และรู้หนทางชีวิตในอนาคตว่าจะเอายังไงต่อไปดี บางทีพวกเขาอาจจะไม่เด็กเกินไปจะรับรู้เรื่องพวกนี้ก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องเจอ และมันน่าจะดีกว่านี้ ถ้าเขามีเวลาได้เตรียมใจไว้บ้าง ก่อนที่ความจริงที่ไม่ว่าจะสวยงามหรือโหดร้ายจะเดินทางมาถึง
สรุป ความน่าสนใจของเรื่องนี้
1. ทำให้เราเห็นมุมมองของโรงเรียนอีกมุมมองหนึ่ง
ทำให้เราเห็นว่า โรงเรียนไม่ใช่แค่แหล่งบ่มเพาะความรู้ แต่มันคือธุรกิจอย่างหนึ่ง การศึกษาจะอยู่รอดได้ ต้องมีทุนสนับสนุนให้ธุรกิจนี้ไปรอดได้ และนี่ก็เป็นธุรกิจสำคัญ ที่จะสร้างคนที่มีคุณภาพออกสู่สังคมได้
2. ตัวละครเอกของเรื่องนี้อย่างครูใหญ่นารุมิค่อนข้างเป็นตัวละครเอกที่ต่างจากละครญี่ปุ่นอื่นๆ ทั่วไป
ตรงที่ว่า ไม่ใช่คนที่เก่งไปซะทุกอย่าง แม้เขาจะมีโปรไฟล์การทำงานที่ดี แต่พอย้ายมาอยู่โรงเรียน มีหลายเรื่องที่เขาพลาด ตัวละครเอกไม่สามารถพลิกชัยชนะขึ้นมาได้เหมือนเรื่องอื่นๆ เป็นตัวละครที่สะท้อนความเป็นมนุษย์จริงๆ ที่แพ้บ้าง ชนะบ้าง ผิดหวังบ้าง สมหวังบ้างค่ะ
3. วิธีการสอนหนังสือในเรื่องนี้มีความน่าสนใจ
หลายครั้งที่พอคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนออกมาไม่ดี เด็กๆ มักจะถูกมองว่า ไม่มีความสามารถ เรียนไม่เก่ง แต่บางทีมันอาจเป็นที่ระบบการเรียนการสอนก็ได้ และละครเรื่องนี้ก็ได้นำเสนอการเรียนแบบ Active Learning ด้วยการเปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้คิด เป็นผู้ค้นหาคำตอบเอง จากกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน ไม่ใช่แค่นั่งฟังแต่คุณครูพูดอยู่อย่างเดียว ดูแล้วก็สนุกไปตามเด็กๆ ด้วยจริงๆ ค่ะ มันสะท้อนให้เห็นว่า การจะเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพ เรื่องระบบการเรียนการสอนก็เป็นอันดับแรกๆ ที่เราต้องให้ความสำคัญมากที่สุด
4. ข้อคิดในละครที่ค่อนข้างเรียล
เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่เราประทับใจมากค่ะ ส่วนตัวแล้วจะชอบฉากท้ายๆ ของแต่ละตอน เพราะมักจะจบด้วยฉากที่ครูใหญ่จะออกมาพูดสอนเด็กๆ ในโรงเรียน เกี่ยวกับประเด็นในเรื่องสังคม ชีวิตนอกรั้วโรงเรียน ชีวิตในการทำงาน ลุ้นตลอดว่า เอ…วันนี้ครูใหญ่จะเอาเรื่องอะไรมาสอนเด็กๆ อีกนะ อารมณ์เหมือนได้ฟังอะไรจากคนที่มีประสบการณ์จริง ดูแล้วก็รู้สึกว่า จะดีไม่น้อยเลย ถ้าเด็กๆ ทุกคนมีโอกาสรับรู้ชีวิตของผู้ใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินไปเจอโลกจริงในสักวันหนึ่ง
“ชีวิตคนเราไม่มีทางสมหวังไปซะหมด แต่คนเราต้องพุ่งใส่กำแพง
พัฒนาตนเองจากการคิดแก้ปัญหา แล้วเชื่อมันว่าจะฝ่ากำแพงนั้นไปได้
สิ่งที่แย่ที่สุดคือการไม่ทำอะไรเลย
และคนที่ไม่ทำอะไรย่อมไม่ได้รับโอกาส”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– ละครญี่ปุ่น : เมื่อสาวไม่เก่งภาษา อยากเป็นนักเขียนบทสุนทรพจน์
– 5 ละครญี่ปุ่นที่ทำให้คุณอยากกลับไปกอดพ่ออีกครั้ง
– Wagaya บ้านของเราในวันที่ไม่มีพ่อ
– ใจเริง 2017 กับความเป็นตัวละครญี่ปุ่น
– 5 เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดในซีรีส์ญี่ปุ่น ที่แฟนละครลืมไม่ลง
ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก
– ละครญี่ปุ่นเรื่อง Saki ni Umareta dake no Boku
– http://asianwiki.com
– http://izu-np.co.jp
– https://goo.gl/JKESi4
#รีวิวละครญี่ปุ่น “ผมนี่แหละครูใหญ่”