Konosuke Matsushita เทพแห่งการบริหารญี่ปุ่นที่หลาย ๆ คนยกย่อง จากเด็กฝึกงานในร้านเล็ก ๆ ตอนอายุเพียง 9 ขวบ จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้ง Panasonic หนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ระดับโลก
พานาโซนิคเป็นบริษัทแรก ๆ ที่ดิฉันเคยทำงานด้วยและรู้สึกประทับใจในแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคม
คุณโคโนสุเกะ มัตสุชิตะผู้ก่อตั้งบริษัทยังจัดได้ว่าเป็นเทพแห่งการบริหารญี่ปุ่นที่หลาย ๆ คนยกย่องเพราะเขาเริ่มชีวิตการทำงานตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยการเป็นเด็กฝึกงานในร้านเล็ก ๆ จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ระดับโลก แนวทางการบริหารลูกน้องของเขาน่าสนใจมากค่ะ
1) ขอคำปรึกษาลูกน้อง
คุณมัตสุชิตะบอกว่า หัวหน้างานบางคนใช้สติปัญญาที่เลิศล้ำกับความเป็นผู้นำในการสั่งงานลูกน้อง แต่สำหรับคุณมัตสุชิตะแล้วเขาบอกว่าเขาไม่ได้เรียนหนังสือมามาก รวมทั้งก็ไม่ได้ฉลาดกว่าคนอื่น ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะปรึกษาลูกน้องเพราะคิดว่าลูกน้องมีความสามารถมากกว่า เขามักจะพูดกับลูกน้องเวลาต้องการจะเรียกใช้งานว่า “ผมไม่สามารถทำมันได้ แต่ผมรู้ว่าคุณทำได้” ลูกน้องที่ถูกมอบหมายจะทำโดยสุดความสามารถจนสำเร็จ เขายังค้นพบว่าการทำแบบนี้ทำให้คนส่วนมากให้ความร่วมมือมากกว่าการที่ถูกบอกให้ทำเสียอีก
2) ชมเชยมากกว่าต่อว่า
นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณมัตสุชิตะไม่เคยดุลูกน้องเลย เขาย่อมเคยดุลูกน้องที่ทำผิดบ้างแต่นั่นไม่ได้เป็นการดุเพราะคิดว่าตัวเองเหนือกว่าลูกน้อง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกน้องคุณมัตสุชิตะทำผิดค่อนข้างร้ายแรง คุณมัตสุชิตะกำลังจะให้จดหมายตักเตือน แต่ก่อนที่เขาจะให้จดหมายนั้นเขาได้เรียกลูกน้องมาบอกว่าเขากำลังจะให้จดหมาย และพูดกับลูกน้องว่า “คุณคิดว่าตัวเองสมควรจะได้รับจดหมายนี้ไหม ถ้าคิดว่าไม่สมควร ผมก็จะไม่ให้ แต่ถ้าคุณยอมรับผิดและเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป มันก็คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะมันจะช่วยปรับปรุงการทำงานของคุณในอนาคต แต่ถ้าคุณคิดว่าจดหมายตำหนินี่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว ผมก็จะไม่ให้คุณเช่นกัน” ลูกน้องคนนั้นได้ยินยอมที่จะรับจดหมาย คุณมัตสุชิตะยังบอกว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เวลาทำผิดแล้วมีคนบอก ต่อมาลูกน้องคนดังกล่าวได้กลายเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม
คุณมัตสุชิตะยังบอกอีกว่า จากการที่ได้สังเกตมา บริษัทที่ผู้บริหารชมเชยลูกน้องเสมอๆจะสามารถขยายกิจการและประสบความสำเร็จมากกว่า ในทางตรงกันข้ามเมื่อผู้บริหารต่อว่าลูกน้องบ่อยๆก็มีแนวโน้มว่าบริษัทก็จะดำเนินกิจการไปอย่างไม่ราบรื่นนัก
3) มองข้อดีมากกว่าข้อเสีย
คุณมัตสุชิตะบอกว่าวิธีการสอนพนักงานที่ดีที่สุดก็คือการมองหาข้อดีหรือจุดแข็งของพนักงานมากกว่าการจับผิด เพราะหากคุณเห็นแต่ข้อด้อยของลูกน้องแล้ว คุณก็จะไม่สามารถมอบหมายงานสำคัญใดๆได้เลยโดยปราศจากความวิตกกังวลว่าลูกน้องจะก่อความเสียหาย ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการขาดความเชื่อใจและมั่นใจในตัวพนักงานจะทำให้พนักงานไม่กล้าที่จะลงมือทำหรือตัดสินใจทำอะไรเลย
4) ไว้ใจแต่ไม่ทอดทิ้ง
คุณมัตสุชิตะบอกว่าการมอบหมายงานให้ลูกน้องนั้นควรอยู่บนพื้นฐานของความไว้ใจ คือให้ลูกน้องรับผิดชอบด้วยตัวเองแต่ก็ไม่ทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกน้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามเมื่อมอบหมายงานอะไรไปก็ไม่ควรจะไปก้าวก่ายหรือกังวลในทุกๆรายละเอียด ทัศนคติที่ถูกต้องควรจะเป็น “เอางานออกจากตัว แต่ไม่เอางานออกจากใจ” คือวางใจให้ลูกน้องทำแต่ก็ไม่ใช่ทอดทิ้ง เพราะฉะนั้นผู้จัดการควรจะสอบถามความคืบหน้าเป็นระยะๆ
5) เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความสามารถ
คุณมัตสุชิตะบอกว่าเป็นหน้าที่ของผู้จัดการที่จะแบ่งปันประสบการณ์และสร้างความมั่นใจว่าลูกน้องได้เรียนรู้สั่งต่างๆด้วยตัวเองโดยการให้โอกาสลูกน้องรับผิดชอบงาน หากหัวหน้าไม่ส่งเสริมให้ลูกน้องคิดด้วยตัวเอง พนักงานก็จะไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่จะรับคำสั่งเฉพาะเมื่อถูกกดปุ่มเท่านั้น
คุณมัตสุชิตะพูดกับลูกน้องเสมอ ๆ ว่า “อย่าคิดว่าผมทำบริษัทนี้ได้ด้วยตัวเอง ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารบริษัท พวกเราต้องการความคิด ทักษะและความรู้ของทุกๆคน เพื่อที่จะเป็นคลังแห่งปัญญาเพื่อระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ การผลิตสินค้าที่ดีขึ้นและการบริการที่มีคุณภาพ”
ทักทายพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ ได้ที่ >>> Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– Shizen Energy ผลิตพลังงานสะอาด และไม่เป็นทาสของเงิน
– ทำไมใครๆ ก็ชอบไปญี่ปุ่น
– Eriko Horiki ผู้เปลี่ยนโฉมหน้าวงการกระดาษทำด้วยมือของญี่ปุ่น (和紙 วาชิ) โดยไม่ต้องเรียนศิลปะ
– A-Dot Company ปรุงวัตถุดิบที่ไม่สมบูรณ์ให้เป็นอาหารแสนอร่อย
– เรียนรู้ทักษะการทำงานจากซีรีย์ญี่ปุ่น
– การตายของพนักงานบริษัทเดนสึที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไป