สถานที่แปลกๆ ในการจัดมวยปล้ำญี่ปุ่น…ผมมานึกดูครับ ว่าสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ของมวยปล้ำญี่ปุ่นนั้นมีอะไรบ้าง และสิ่งที่ผมฉุกคิดขึ้นมาก็คือเรื่องของ “สถานที่ปล้ำ” นั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่ปล้ำแปลกๆ ในวงการมวยปล้ำญี่ปุ่นกันครับ
ในช่วงที่ผ่านมามีคนส่งข้อความมาหาผมเยอะพอสมควร และถามถึงความแตกต่างระหว่างมวยปล้ำญี่ปุ่นและมวยปล้ำอเมริกา ในประเด็นนอกเหนือไปจากสไตล์การปล้ำ หรือกฏกติกาต่างๆ
ผมก็เลยมานึกดูครับ ว่าสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ของมวยปล้ำญี่ปุ่นนั้นมีอะไรบ้าง และสิ่งที่ผมฉุกคิดขึ้นมาก็คือเรื่องของ “สถานที่ปล้ำ” นั่นเอง นั่นเพราะอย่างสมาคมผมเองก็ขึ้นปล้ำกันบนเบาะครับ ในห้องเล็กๆ ที่จุคนได้ประมาณ 60 คนเท่านั้น และนักมวยปล้ำญี่ปุ่นนั้นมักจะพูดกันเสมอว่า “เราจะขึ้นสู้ที่ไหนก็ได้”
คือจริงๆ วงการมวยปล้ำของต่างประเทศก็มีแมตช์แบบ Fall Count Anywhere ที่ออกนอกที่นอกทางอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่กับมวยปล้ำญี่ปุ่นผมมองว่าแตกต่างออกไป เพราะที่ญี่ปุ่นปล้ำกันจนถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นโอกาสพิเศษหรืออะไร (คือแฟนๆ ก็จะไม่ได้มาตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมาจัดมวยปล้ำในที่แปลกๆ แบบนี้ล่ะ เขาก็พร้อมจะสนับสนุนและเข้าใจวัฒนธรรมว่าทางค่ายจะจัดที่ไหนก็แล้วแต่เขา แฟนๆ มีหน้าที่ตามไปดูก็แล้วกัน) แบบนี้เป็นต้น
ดังนั้นในวันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่ปล้ำแปลกๆ ในวงการมวยปล้ำญี่ปุ่นกันครับ
1. บนเบาะ
สถานที่ปล้ำบนเบาะดังๆ ในญี่ปุ่นก็คงหนีไม่พ้น Ichigaya Chocolate Hiroba (หรือเดิมชื่อว่า Ichigaya Ice Box) เป็นสถานที่ที่สมาคมมวยปล้ำเล็กๆ หลายสมาคมเลือกที่จะมาจัดโชว์ครับ ด้วยค่าเช่าที่ไม่แพง และเดินทางได้ง่าย (อยู่ตรงกลางของโตเกียวเลย หากเรามองดูจากแผนที่รถไฟ) สมาคมมวยปล้ำมากมายเลยเลือกจะมาจัดอีเวนท์ที่นี่
โดยข้อดีของการปล้ำที่นี่นอกจากการเดินทางและราคาแล้ว ยังรวมไปถึง “ความใกล้ชิด” ที่หาไม่ได้จากการแข่งขันมวยปล้ำที่อื่น เพราะการปล้ำที่นี่นั้น บริเวณเบาะ (ที่ถือเป็นพื้นที่แสดง) กับเก้าอี้คนดู อยู่ติดกันเลยแบบไม่มีช่องว่าง ดังนั้นบางทีนักมวยปล้ำก็จะล้มกระเด็นกระดอนไปพิงตัวแฟนๆ หรือหันไปขอกำลังใจจากแฟนๆ (จับมือ กอด ฯลฯ) เป็นบรรยากาศที่ดีและยากจะอธิบายครับ
จากประสบการณ์ส่วนตัว เรามีแฟนมวยปล้ำหลายคนที่เริ่มมาจากการตั้งคำถามว่า สถานที่เล็กๆ แบบนี้จะไปสนุกได้อย่างไร แต่เมื่อมาสัมผัสจริงๆแล้วก็จะรู้ว่ามวยปล้ำแต่ละแห่งในแต่ละสถานที่นั้นก็จะมีจุดเด่น มีความน่าสนใจที่แตกต่างกัน และถึงแม้วันหนึ่งสมาคมจะเติบโตจนไม่จำเป็นต้องปล้ำในสังเวียนเบาะเล็กๆ แล้ว ก็มักจะมีแฟนๆ มาถามหาการปล้ำบนเบาะอยู่เสมอ เพราะมันคือความใกล้ชิดที่หาจากที่ไหนไม่ได้นั่นเอง
(และแฟนมวยปล้ำแท้ๆ บางคน ก็จะชอบการปล้ำบนเบาะ ด้วยข้อจำกัดในการใส่ท่ามวยปล้ำ คือเพื่อป้องกันอันตรายจากการแข่งขันบนเบาะที่อาจจะไม่ปลอดภัยเท่ากับเวทีมวยปล้ำทั่วไป ดังนั้นสไตล์การปล้ำก็จะจริงจังเน้นการเล่นงานตามพื้นฐานมวยปล้ำ ทำให้คนที่ชอบทักษะมวยปล้ำจริงๆ ก็จะติดตามการปล้ำบนเบาะเสมอๆ ครับ)
2. ป่า
“ป่า” ถือเป็นการปล้ำที่มีชื่อเสียงมากๆ ของสมาคม DDT สมาคมมวยปล้ำที่ได้ชื่อว่าบ้าดีเดือดที่สุดค่ายหนึ่งในญี่ปุ่นครับ (คือนักมวยปล้ำล่องหน, นักมวยปล้ำตุ๊กตายาง ล้วนสร้างขึ้นโดยสมาคมแห่งนี้ 555)
การปล้ำในป่านั้น มีจุดเด่นคือ “ความแปลกใหม่ครับ” การปล้ำก็จะแบ่งเป็นสองทีม ต่างฝ่ายก็เดินลุยกันในป่าเนี่ยแหละ เจออะไรได้ก็เอามาใช้ ไล่มาตั้งแต่เรือยันพลุไฟ หรือโทรโข่ง หรือเตาปิ้งบาบีคิว ฯลฯ ซึ่งป่าที่เขาใช้ประจำก็อยู่ภายใน Camp Site (จุดที่ให้นักท่องเที่ยวมาตั้งแคมป์) ในยามานาชิ ชื่อว่า Yamanashi Nature Land Om อยู่ห่างจากโตเกียวแค่ 80 กิโลเมตรเท่านั้นเอง (รถไฟก็มาลงสถานี Sagamiko) ค่าเดินทางอยู่ที่ประมาณ 1200 เยนเท่านั้นเอง ใครชอบตั้งแคมป์ และลุ้นว่าวันดีคืนดีจะมีมวยปล้ำมาตีกันข้างๆ ก็ลองหาข้อมูลดูได้นะครับ
ผมมีโอกาสได้คุยกับนักมวยปล้ำในสมาคม DDT หลายคน ก็ได้ความคิดเห็นมาว่าการขึ้นปล้ำในสถานที่แปลกๆ อย่างป่าแบบนี้ จะสามารถเรียกความสนใจจากสื่อได้มาก โดยเฉพาะกับสมาคมเล็กๆ ที่ต้องการพื้นที่สื่อในการประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้มันยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทางสมาคมเองกับตัวหน่วยงานต่างๆ ด้วย (ยกตัวอย่างสมาคม DDT นอกจากจะร่วมงานกับทางจังหวัดแล้ว ยังร่วมงานกับหน่วยงานเล็กๆ อย่างตลาดท้องถิ่น, สวนสนุก ฯลฯ และเอามวยปล้ำไปจัดขึ้นที่นั่น ในแบบที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะสำเร็จ หรือมันจะออกมาในรูปแบบไหน แต่สุดท้ายมันก็พลิกกลับมาเป็นข้อได้เปรียบ และกลายเป็นกระแสครับ) ดังนั้นสิ่งนี้ก็คือกลยุทธ์หนึ่งในการดำเนินธุรกิจ โดยการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้นั่นเองครับ
3. เกาะ
การปล้ำบนเกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการปล้ำระหว่างตำนานแห่งวงการมวยปล้ำทั้งสองคนอย่าง “อันโตนิโอ อิโนกิ” และ “มาสะ ไซโตะ” ในแมตช์ที่มีชื่อว่า Island Death Match วันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1987 ซึ่งทั้งสองได้สู้กันบนเกาะนานถึง 2 ชั่วโมง 5 นาที 42 วินาที และเป็นทางอันโตนิโอ อิโนกิ ที่ชนะไปด้วย TKO (แมตช์นานมาก บางคนก็บอกว่าน่าเบื่อ)
แต่ด้วยความที่เกาะแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนญี่ปุ่นเป็นอย่างสูง เพราะเป็นเกาะที่เป็นสถานที่ดวลดาบในตำนานระหว่างซาซากิ โคจิโระ และมิยาโมโตะ มุซาชิ ซามูไรนักปราชญ์ผู้น่าเกรงขาม
หลังจากแมตช์นี้ผ่านไป ก็มีนักมวยปล้ำเดินทางไปขึ้นปล้ำบนเกาะนี้เยอะครับ ทั้งรายการที่ถูกกฏหมาย (คือมีการขออนุญาตใช้สถานที่อย่างตามขั้นตอน) กับอีกหลายๆ รายที่ขึ้นไปปล้ำโดยไม่ได้ขออนุญาต (เลยไม่สามารถเผยแพร่ภาพในเชิงธุรกิจได้) ปัจจุบันก็ยังมีค่ายมวยปล้ำอีกหลายรายที่เตรียมจะไปขึ้นปล้ำบนเกาะแห่งนี้ครับ
4. สระว่ายน้ำ
สระว่ายน้ำก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่านำเสนอจากสมาคม DDT ครับ อันนี้ก็คอนเซปต์เดียวกับการบุกป่านั่นแหละ แต่ย้ายโลเคชั่นไปที่ชิซุโอกะแทน อีเวนท์นี้ก็จะใช้ทุกอย่างที่สามารถทำได้บนน้ำน่ะครับ (หรืออะไรที่ไม่น่าเอามาใช้ก็มี เช่น จักรยาน 555) โดยนักมวยปล้ำก็จะถูกจับมาเรียงคิวเตรียมกระโดดน้ำ (โดยไม่มีเหตุผล) ก่อนจะหันมาสู้กัน และก็จะมีการพักเหนื่อยนอนแช่น้ำ ฯลฯ
จริงๆ แล้วมวยปล้ำพวกนี้คือการสร้างความน่าสนใจให้กับการท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัดเขาน่ะครับ ทางค่ายมวยปล้ำ DDT ที่ขึ้นชื่อในเรื่องอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ก็เอามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ซะเลย อย่างเช่นปล้ำมวยปล้ำกันอย่างจริงจัง แต่พอไปเจอบ่อน้ำแล้ว ทุกคนก็จะเลิกสู้ ไปนอนแช่น้ำ แล้วก็พูด hard sell อารมณ์แบบ “บ่อน้ำที่นี่มันดีจังน้าาาา หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เป็นต้น ก่อนจะลุกขึ้นมาสู้กันต่อด้วยพละกำลังที่มากขึ้น (เพราะผ่านการรีแลกซ์ขั้นสุดยอดมาแล้ว)
ปล. ในอดีตสมาคม FMW ก็เคยมีการปล้ำแบบจริงจัง (เอาเวทีตั้งบนน้ำ) เหมือนกันนะ ไว้จะมาเขียนเรื่องของสมาคมนี้แยกอีกที เพราะน่าสนใจ และถือเป็นกระแสที่แรงมากๆ ของวงการมวยปล้ำญี่ปุ่นในยุค 90 เลยทีเดียว
5. ทะเล
การปล้ำในทะเลไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ ในสมัยก่อนก็ทางสมาคมมวยปล้ำก็มักจะหาทางสร้างจุดสนใจให้กับโชว์ของตนเอง และทะเลก็ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะแสดงถึงความแกร่งของนักมวยปล้ำ (คือสมัยก่อนวงการมวยปล้ำมักจะถ่ายทอดตัวนักมวยปล้ำออกมาในรูปแบบของยอดมนุษย์ คือแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา หรือที่เรียกกันว่า Larger Than Life Persona) แต่ปัจจุบันการตั้งเวทีบนน้ำก็เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายในค่ายท้องถิ่นในจังหวัดที่อยู่ติดทะเล อย่างเช่น โอกินาว่านั่นเอง
โดยสรุปแล้ว “การเปลี่ยนสถานที่” ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ค่ายมวยปล้ำแต่ละค่ายได้รับความสนใจจากผู้คนครับ ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีสื่อออนไลน์มาช่วยกระจายข่าวให้กระแสแต่ละอย่างมันต่อยอดไปได้ไกลและเร็วกว่าที่เคย แต่ละค่ายก็เลยพยายามหาไอเดียเข้ามาแข่งขันกัน ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ แต่ยังรวมไปถึงคาร์แรกเตอร์ของนักมวยปล้ำ ตลอดจนรูปแบบการปล้ำบนเวที ซึ่งสุดท้ายแล้วคนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คือแฟนๆ ที่จะได้ชมมวยปล้ำดีๆ และน่าสนใจต่อไปเรื่อยๆ ครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า หรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
เรื่องแนะนำ :
– 5 นักมวยปล้ำหญิงญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง
– “E-BOOK” อัศวินขี่ม้าขาว ผู้กอบกู้วงการหนังสือญี่ปุ่น
– “รู้แบบนี้ไม่มีตกงาน” คำแนะนำจากชาวญี่ปุ่นสำหรับคนอยากประสบความสำเร็จทางการงาน
– ช่วงเวลาที่ยากลำบากของวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น
– ตำนาน HAYABUSA นักมวยปล้ำที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก