ความสุขและสำเร็จในการทำงาน … “งาน” กินเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเรา ดังนั้น การทำงานให้มีความสุขและสำเร็จในแบบที่เราต้องการจึงเป็นสิ่งสำคัญ คำถามสำคัญที่เราจะใช้ถามตัวเองในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานได้แก่…
“งาน” กินเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเรา ดังนั้น การทำงานให้มีความสุขและสำเร็จในแบบที่เราต้องการจึงเป็นสิ่งสำคัญ คำถามสำคัญที่เราจะใช้ถามตัวเองในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานได้แก่
1) เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร
ดิฉันเชื่อว่าคำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจของหลายๆ คนรวมทั้งตัวดิฉันเอง พอหาคำตอบไม่ได้หลายๆ คนเลยใช้ชีวิตไปวันๆโดยดำเนินชีวิตไปตามบทบาทหน้าที่ที่คนอื่นกำหนดให้โดยไม่รู้จุดหมายและไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำในวันนี้มีความหมายอย่างไร
จริงๆแล้วธรรมชาติสร้างให้เราทุกคน “มีเป้าหมายในชีวิตบางอย่าง” ที่มาพร้อมกับ “ความสามารถพิเศษเฉพาะตน” ที่เป็นดังพรสวรรค์ที่ไม่เหมือนใคร เราจึงควรค้นหาตัวตนหรือสิ่งที่เราถนัดให้เจอและใช้สิ่งนั้นในการสร้างรายได้
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ยูนิโคล ที่ใช้ความถนัดในการทำเสื้อผ้าเพื่อจุดหมายในการ“ผลิตเสื้อผ้าให้คนทั้งโลก” บริษัทฟอมม์ คอร์ปอเรชั่น ที่ใช้ความสามารถด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าลอยน้ำได้ที่มีเป้าหมายเพื่อ “ช่วยผู้คนให้สามารถหนีภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะมีมากขึ้นทุกวันได้”
ดังนั้น ก่อนอื่นเราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า “เหตุผลในการมีชีวิตของเราคืออะไร” หรือจะพูดให้ง่ายกว่านั้น อาจจะหมายถึงสิ่งที่ทำให้เราอยากตื่นนอน ลุกออกจากเตียง แล้วไปทำสิ่งนั้นอย่างกระตือรือร้น
2) เราจะหาจุดสมดุลระหว่างงานกับชีวิตของเราได้อย่างไร
ปัญหาการหาจุดกึ่งกลางระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวในชีวิตเป็นปัญหาที่หลายๆคนและหลายๆบริษัทมุ่งที่จะแก้ไข แต่ผลวิจัยล่าสุดกลับชี้ให้เห็นแนวทางตรงกันข้าม เพราะหากพนักงานทำงานที่ตัวเองชอบและมีความสุขที่จะทำ การทำงานล่วงเวลากลับไม่ใช่ปัญหาเลย แต่การทำงานมากๆจะเป็นปัญหาทันทีหากคนที่ทำไม่ได้รักงานที่ตัวเองทำ
หากสังเกตจะพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จต่างก็ใช้ชีวิตและงานไปพร้อมกันและเปรียบเสมือนเหรียญสองด้านที่ส่งพลังให้กันและกัน เมื่อได้ทำงานที่มีคุณค่า สร้างประโยชน์ให้คนรอบข้าง เราย่อมรู้สึกดีกับตัวเอง และความรู้สึกรักในสิ่งที่ทำนี้เองที่จะเป็นแรงผลักดันของชีวิต ดังเช่น โซอิจิโร ฮอนด้า เจ้าของบริษัทยานยนต์ Honda ที่แทบจะไม่เคยพักผ่อนด้วยวิธีการอื่นๆ เลย นอกจากขบคิดเกี่ยวกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เมื่อใครบอกให้เขาพักผ่อนด้วยวิธีอื่นๆ ฮอนด้าจะตอบว่า “การทำงานนี่แหละคือวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุดในแบบของเขา” เขากล่าวเสมอว่า “หากเราสนใจและชอบในสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ ต่อให้ใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่เบื่อหน่าย ชีวิตที่จมอยู่กับสิ่งที่ถนัดหรือชอบ ย่อมเป็นชีวิตที่แสนจะมีความสุข”
หนทางเดียวที่เราจะใช้ชีวิตแบบนั้นได้ก็คือ ต้องรักในสิ่งที่ทำ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ควรลองพยายามทำงานตรงหน้าอย่างทุ่มเท หากทำแล้วยังรู้สึกลำบากใจก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากมันไม่ใช่งานที่เรารัก หากเรารักงานที่ทำเราจะไม่รู้สึกลำบากใจ อึดอัดใจ หรือทุกข์ทรมาน และยังจะสามารถทำงานนั้นได้ดีเยี่ยม
3) เราจะพัฒนาตัวเองในทางไหนได้บ้าง
นักวิจัยหลายๆท่านได้พิสูจน์แล้วว่าปัจจัยความสำเร็จของคนเรานั้นก็คือ “ความพยายาม” ความพยายามนั้นมีความสำคัญมากกว่าพรสวรรค์ หรือความสามารถใดๆเพราะต่อให้ฉลาดยังไงหากไม่พยายามก็ยากที่จะสำเร็จ
หนังสือเรื่อง Mindset: The New Psychology of Success ของ Carol Dweck แบ่งกรอบความคิดของคนเป็น 2 ประเภท คือ คนที่มีกรอบความคิดแบบเปิดกว้าง (Growth Mindset) และคนที่มีกรอบความคิดแบบปิดตาย (Fixed Mindset) คนที่มีกรอบความคิดแบบเปิดกว้างเชื่อว่า ความฉลาด ทักษะ และความสามารถเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และสร้างได้ ในหลายๆ ครั้งอาจมีเรื่องที่เขาไม่รู้ แต่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ เมื่อทำงานอะไรก็ใช้ความพยายามยามสุดความสามารถในการทำ คนที่มีวิธีคิดแบบนี้จึงมักจะหลีกเลี่ยงงานง่ายๆที่ทำจนเคยชิน แต่กลับชอบทำงานที่มีความท้าทายมากกว่าเพราะทำให้เขาได้ความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ หากเกิดปัญหาและอุปสรรคเขาก็มองว่าเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้และพัฒนามากขึ้น เพราะเขามองทุกอย่างเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และปรับปรุงเพิ่มเติม คติประจำใจของคนเหล่านี้คือ “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หากพยายามมากพอ”
ซึ่งต่างจากคนที่มีกรอบคิดแบบปิดตายที่เชื่อว่าความฉลาด ความสามารถพื้นฐาน และพรสวรรค์ต่างๆเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เขาจึงคิดว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นเรื่องที่โง่มาก คนแบบนี้จึงนิยมทำอะไรตามความเคยชินแบบเดิมๆ ไม่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และไม่กล้าก้าวออกจาก Comfort Zone
4) เราจะทำประโยชน์ให้กับโลกนี้ได้หรือไม่
ผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในโลกล้วนประสบความสำเร็จจากการพยายามแก้ปัญหาสังคมที่มีอยู่ในรูปแบบใหม่ๆนั่นก็คือ “การสร้างผลงานที่มีคุณค่าให้กับโลกใบนี้” เหมือนกับที่ Mark Zuckerberg เคยพูดเอาไว้ว่า จงตั้งเป้าหมาย (Purpose) ให้ใหญ่กว่าตัวเอง แล้วลงมือทำ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Jeplan Japan ผู้ผลิตพลังงานจากการรีไซเคิลขยะ ที่มีเป้าหมายคือ “อยากให้โลกนี้ไม่มีขยะ” และ Swan Bakery ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ “คนพิการสามารถทำงานร่วมกับคนทั่วไปได้”
เมื่อเรานำศักยภาพในการใช้ความสามารถเฉพาะตัวมารวมเข้ากับการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมโดยตอบโจทย์ที่โลกต้องการ ไม่มีทางที่คุณจะไม่ประสบความสำเร็จได้เลยค่ะ
สามารถติดตามเรื่องราวแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจด้วยความรักในหนังสือ “Japan Success ธุรกิจสำเร็จได้ด้วยใจรัก” ตามแผงหนังสือชั้นนำ และ สามารถพูดคุยสื่อสารกับพิชชารัศมิ์ได้ที่ FB: Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– เครื่องอัตโนมัติที่ช่วยลดแรงงานคน
– เลี้ยงลูกให้มีความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่น
– มหัศจรรย์แห่งน้ำ คำตอบเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
– ทำไม Kitkat ถึงได้ฮิตในญี่ปุ่น
– ตู้กดสารพัดสิ่ง สะท้อนสังคมญี่ปุ่น
– ความสุข (ในงาน) แท้จริง คือสิ่งใด
#การทำงาน