หมอยื่นมือมาจับมือผมแล้วตกใจปล่อยมือออกไป แล้วพูดว่าลายมือคุณน่ากลัวมาก ไม่ได้บอกว่าเป็นยังไงเพียงแต่ให้คำแนะนำว่า พยายามอยู่ในที่ดีๆ คนดีๆ แล้วคุณจะดีมากๆ อย่าไปอยู่กับคนไม่ดี คุณจะกลายเป็นคนที่เลวมากๆ ชีวิตไม่มีตรงกลาง มีแต่บนสุดกับล่างสุดเท่านั้น
ภาพโดย : อ.วิโรจน์ สายดนตรี
ขอบคุณผู้อ่านที่เข้ามาคอมเม้นท์ มีน้องอยู่คนหนึ่งที่ให้กำลังใจผมเรื่องขอให้ได้งานใหม่เร็วๆ งานใหม่ผมหนักกว่าเก่าอีกครับ ตายมากกว่าเป็น ย้อนกลับดูยอดผู้เข้ามาอ่านในตอนที่ 1 มีคนอ่านมากถึง 12,000 ราย เกินความคาดหมายผมมาก ขอบคุณที่มีคนให้ความสนใจติดตาม กำลังพยายามเขียนต้นฉบับให้จบ เผื่อพรุ่งนี้ไม่มีโอกาส
ว่ากันต่อเลยนะครับ เมื่อช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพาลูกสาวกับภรรยาคนปัจจุบันไปทำบุญ ลูกสาวผมโตขึ้นมามากปัจจุบันอายุ 14 ปี โตเป็นสาวแล้ว อายุพอๆ กับเวลาที่ผมกลับจากญี่ปุ่น เห็นหน้าลูกสาวทำให้นึกถึงวันเวลาที่ผมอยู่ญี่ปุ่น ก่อนนอนจะนึกเสมอว่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกสาวอีกหรือเปล่า สรุปว่าได้มีโอกาสกลับมาจริงๆ
วันที่ผมกลับมาถึงเมืองไทย ผมไปนอนอยู่คอนโดแห่งหนึ่งย่านวังหิน 2 วันก่อนที่จะเข้าบ้าน ภาพวันนั้นยังจำได้ดีว่าปีนเข้าบ้าน แล้วงัดเข้าบ้านโดยไม่ได้เรียกใครให้เปิดประตู เข้าไปถึงห้องนอนพ่อกับแม่ ภาพที่เห็นคือ พ่อแม่และลูกสาวผมนอนอยู่ แม่ตื่นขึ้นมาแล้วถามผมว่าผมหายไปไหนมา เรื่องนั้นผ่านมา 12 ปีแล้ว ไว้จะเล่าในตอนจบอีกครั้ง
หลังจากที่ผ่านวันของการแข่งรถไปก็ไม่มีอะไรทำ มีอยู่วันหนึ่งพี่หงษ์แวะมาหาที่บ้านไดน่า แล้วชวนผมออกไปข้างนอกเป็นเพื่อน ไปไหนรู้ไหมครับ ไปดูหมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเชื่อเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผมแค่ไปเป็นเพื่อนแกเฉยๆ มันเป็นเรื่องของความเชื่อ ซึ่งผมไม่เคยเชื่อ
ขอย้อนอดีตก่อนไปญี่ปุ่นอีกทีน่ะครับ ก่อนผมไปญึ่ปุ่น 4 ปี ได้มีโอกาสเจอหมอดูลายมือคนหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น เพื่อนๆ ที่ทำงานที่บริษัทเดียวกันชวนกันไปชั้นล่างของตึกที่ทำงาน เพราะมีหมอดูลายคนนี้มาที่บริษัท ทุกคนดูกันเสร็จมีผมคนเดียวที่ไม่ได้คิดอยากจะดูเพื่อนบอกหมอว่า ให้ดูลายมือผมให้หน่อย เพราะผมเป็นคนลายมือขาดทั้งสองข้าง หมอยื่นมือมาจับมือผมแล้วตกใจปล่อยมือออกไป แล้วพูดว่าลายมือคุณน่ากลัวมาก ไม่ได้บอกว่าเป็นยังไงเพียงแต่ให้คำแนะนำว่า พยายามอยู่ในที่ดีๆ คนดีๆ แล้วคุณจะดีมากๆ อย่าไปอยู่กับคนไม่ดี คุณจะกลายเป็นคนที่เลวมากๆ ชีวิตไม่มีตรงกลาง มีแต่บนสุดกับล่างสุดเท่านั้น หลังจากนั้น 2-3 วัน หมดดูคนนั้นได้ส่งแฟ็กซ์คำทำนายโดยละเอียดมาให้ผม ผมอ่านแล้วก็ทิ้งไป
ช่วงชีวิตที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นไปตามคำทำนายทายทักในแฟ็กซ์แผ่นนั้นมากจนนึกไม่ถึง ตรงมากและที่เหลื่อเชื่อมากกว่านั้น คำทำนายต่างๆ ตรงจนถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน ในคำทำนายพูดถึงจะมีผู้หญิงขาว 2 คน อายุมากคนหนึ่ง อายุน้อยคนหนึ่งจะช่วยเหลือผมทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันในต่างแดน ซึ่งในขณะนั้น ผมยังไม่มีความคิดจะไปอยู่ต่างประเทศเลย ผู้หญิง 2 คนนั้นก็คือไดน่ากับพี่หงษ์ และชีวิตที่ผจญภัยเสี่ยงโน่นเสี่ยงนี่ตลอดเวลาก็ตรงเป็นไปตามคำทำนาย คนลายมือขาด 2 ข้าง เท่าที่เคยได้ยินมาความหมายไม่ค่อยจะดี บางทีการใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นในขณะนั้นเหมือนไม่มีทางออกทางไปจริงๆ แต่ก็พ้นภัยไปได้ทุกครั้ง ทุกวันนี้ผมนึกถึงคำทำนายในวันนั้นมาก เธอคนนั้นดูแม่นจริงๆ
มีวันหนึ่งพ่อไดน่าโทรมาคุยกับไดน่าเป็นเวลานาน จนผมกังวลว่าคุยอะไรกัน ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับผม หลังจากวางหูโทรศัพท์ไดน่าก็ออกไปนั่งที่หน้าบ้าน ผมถามเธอว่ามีอะไรหรือเปล่า เธอบอกว่าเกี่ยวกับผม ผมบอกว่าให้เธอพูดมาเถอะ พ่อเธอไม่อยากให้ผมมานอนที่บ้านเพราะผมมีปัญหาเยอะ แล้วแต่ละกลุ่มที่ผมมีปัญหา ล้วนแต่เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพล วันหนึ่งไดน่าคงต้องเอดร้อนด้วยแน่ ซึ่งก็คงเป็นความรักและความห่วงใยที่พ่อมีต่อลูกสาว ไม่ใช่ไม่ชอบผมเป็นการส่วนตัว
ผมเคยเจอพ่อของไดน่าไม่กี่ครั้ง สมัยพี่หงษ์ฝากผมมาอยู่ใหม่ๆ แทบไม่เคยคุยอะไรกัน เพียงแต่พ่อไดน่าเชื่อถือในตัวของพี่หงษ์ ถึงให้โอกาสและช่วยผม วันนี้กับวันนั้นต่างกัน ผมทะเลาะกับคนญี่ปุ่นไม่รู้กี่กลุ่มต่อกี่กลุ่มที่โตเกียว ก็ไม่ต่ำกว่า 3 กลุ่ม ที่โอซาก้าอีกล่ะและไหนจะที่ร้านของส้มอีก เพียบเลยครับ เดินไปเดินมาตายหรือบาดเจ็บได้ตลอดเวลา
หลังจากคุยกับไดน่าในวันนั้น คิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่าง แล้วสรุปว่าผมจะอยู่ยังไง จะอยู่ที่ไหน จะคุยปรึกษาใครดี เป็นความทุกข์มากครับ มีอยู่คืนหนึ่งออกไปกับอาเทียร เธอก็เอาผมไปทิ้งไว้ที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งแถวชานเมือง แล้วเธอบอกว่าดึกๆ จะกลับมารับ โดนอีกครับเมาแล้วก็ทะเลาะวิวาทกับชาวบ้านเขาอีก คราวนี้โดนรุมแบบไม่มีทางสู้ นอนสลบอยู่ที่ร้านนั้นจนเกือบเช้า อาเทียรแวะมารับจะพากลับไปบ้านไดน่าเพื่อทำแผล ผมบอกว่าไปทำแผลที่ไหนก่อนได้ไหม ไม่อยากให้ไดน่ารู้ เธอก็พาผมไปร้านพี่หงษ์ พี่แกเห็น แกก็ส่ายหน้าทำนองว่าเอาอีกแล้วเหรอ
ความคิดผมช่วงนั้นสับสนมาก ไม่รู้ว่าจะเอายังไงจะไปทางไหนดี กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดให้ชีวิตในยามเรามีปัญหาเกิดขึ้น กำลังใจมาจากตัวเราเอง กับคนใกล้ตัวเพียง 2-3 คน เพียงพอครับสำหรับชีวิตคน ในยามนั้นกำลังใจผมมีเพียงตัวผมเอง ไดน่า พ่อแม่และลูกสาว ขอขอบคุณไดน่าในวันนั้นจริงๆ เพียงคำพูดไม่กี่คำ การกระทำที่ผมสามารถรู้สึกได้ถึงความหวังดี ผมไม่เคยลืม
ช่วงนี้ชีวิตผมกลับมาผจญภัยเสี่ยงตายอีกรอบ เป็นตายเท่ากันครับ เวลานั่งพิมพ์ต้นฉบับเป็นที่ช่วงเวลาที่ชอบที่สุด ผมได้กำลังใจจากคนรอบข้างไม่กี่คน นับรวมแล้วไม่เกินสี่คน แต่ก็พอเพียงแล้วครับสำหรับการมีชีวิตต่อไป เหมือนกับที่เคยมีผู้ใหญ่คนหนึ่งสอนผมไว้ว่า มีคนที่รักเราจริงในชีวิตเพียงคนเดียวก็พอแล้ว
เรื่องราวต่อไปในตอนหน้า ผมกลับไปเก็บผลประโยชน์ที่ผมทำไว้ที่โอซาก้า แล้วเปลี่ยนงานจากสีเทาๆ เป็นสีขาว แล้วอาเทียรก็หายไปจากชีวิตผม คอยติดตามกันนะครับ
อ่านญี่ปุ่นในมุมมืดทั้งหมด คลิ๊ก >>> ญี่ปุ่นในมุมมืด